3 วันหลังสหรัฐประกาศเงินเฟ้อ “ตลาดหุ้น-คริปโต-พันธบัตร” ปั่นป่วนทั่วโลก
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล นักเศรษฐศาสตร์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่กำลังปั่นป่วนว่า ขณะนี้ไม่เพียงแต่ตลาดหุ้น และตลาดคริปโต ที่ระเนระนาด ตลาดพันธบัตรเองก็ถูกกระทบหนักเช่นกัน
ในระยะเวลาเพียงแค่ 3 วัน ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐ 2 ปี เพิ่มขึ้น +0.58% ถือว่าสูงสุดในรอบ 14 ปี เป็น 3.354% รับกับดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐในอายุอื่นๆ ที่พุ่งขึ้นเช่นกัน
นำมาซึ่งความเสียหายกับผู้ที่ได้ลงทุนในกองพันธบัตรสหรัฐต่างๆ และยิ่งไปกว่านั้น ดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้น เช่น 2 ปี ได้เริ่มพุ่งไปอยู่ระดับที่สูงกว่าดอกเบี้ยระยะยาว 10 ปี 30 ปี ทำให้เริ่มเข้าสู่ภาวะ Inverted Yield Curve เป็นรอบที่สองของปี สะท้อนสัญญาณว่าจะมี Recession ในอนาคต 12-24 เดือนข้างหน้า
นายกอบศักดิ์ ระบุว่า ภาวะเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดคิดว่าเฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยไปจัดการปัญหาระยะสั้น นำมาซึ่งเศรษฐกิจที่ซบเซาหรือถดถอย (Recession) จนท้ายที่สุด เฟดต้องลงดอกเบี้ยมาในระยะยาว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง
ทั้งหมดนี้ เป็นผลมาจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ว่า เงินเฟ้อที่คิดกันว่าผ่านจุดสูงสุดแล้วยังสามารถสูงขึ้นได้อีก โดยนัยยะต่อไปกับการประชุมของเฟดในคืนวันอังคารและคืนวันพุธนี้ คือ กรรมการจะตัดสินใจอย่างไร
แต่ที่แน่ๆ สูตรยาโดยรวมจะต้องแรงขึ้น โดยตลาดคิดว่าจะต้องเพิ่มไปอีกอย่างน้อย .50% จากแนวทางเดิมที่ท่านประธานเฟดเคยประกาศไว้เมื่อการประชุมครั้งที่แล้ว
เพียงแค่ว่าจะเป็นแบบทำเลย หรือ Front Load คือ ขึ้น +0.75% ในรอบนี้เลย หรือ
ค่อยเป็นค่อยไป คือ ยังขึ้น +0.5% ในรอบนี้ และประกาศว่าจะขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีไปอีก 3-4 ครั้ง ปรับเพิ่มจากแนวทางเดิม ที่เหลืออยู่อีก 1-2 ครั้งเท่านั้น
สำหรับการประชุมเฟดที่จะถึงนี้ นายกอบศักดิ์มองว่ามีเรื่องให้ต้องติดตาม 4 เรื่อง คือ
1) การตัดสินใจว่าขึ้นเท่าไหร่
2) Dot Plot ว่าจะไปจบที่ตรงไหน จะไปทะลุ 4% หรือไม่
3) ประมาณการณ์เศรษฐกิจสหรัฐล่าสุด โดยเฉพาะว่าแนวโน้มเงินเฟ้อ ว่าต่างจากเดิมแค่ไหน เศรษฐกิจสหรัฐจะซบเซาลงแค่ไหน จะเข้าใกล้ หรือเป็น Recession หรือไม่ และ
4) การแถลงและตอบคำถามของท่านประธานเฟดที่แสนจะเดายากว่าจะหลุดปากอะไร และเมื่อพูดแล้ว ตลาดจะเหวี่ยงไปทางไหน
ที่แน่ๆ คือ คำถามของนักข่าวและสังคมต่อประธานเฟดจะเริ่มร้อนแรงขึ้นจากนี้ เพราะท่านคือแม่ทัพที่บัญชาการศึกสู้เงินเฟ้อ แต่กำลังเอาเงินเฟ้อไม่อยู่ สุดท้ายอาจจะต้องจำใจงัดยาแรงด้วยการใช้ขีปนาวุธสุดท้าย คือ ทำให้เกิด Recession เพื่อให้เงินเฟ้อลงมา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าคนนับสิบล้านที่จะต้องตกงาน สูญเสียบ้าน มีปัญหาครอบครัว บริษัทหลายแสนแห่งที่จะต้องปิดกิจการ ไม่นับ Emerging markets อีกหลายประเทศที่จะเกิดวิกฤต กระทบคนไปอีกหลายร้อยล้านคนทั่วโลก












