BUSINESS

ลอรีอัล โตสูงสุดในรอบ 20 ปี ฟันธง ปี67 ‘ตลาดความงาม’ คึกคักต่อเนื่อง

ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย เปิดบ้านใหม่ ‘บ้านโบเต้’ อัปเดตผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา พร้อมมองเทรนด์ตลาดความงามโลก ปี 2567 มั่นใจ ตลาดความงามคึกคัก ส่งสัญญาณบวกต่อเนื่องในปีนี้ เผย ปีที่ผ่านมา ลอรีอัล กรุ๊ป มีอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 20 ปีที่ 11% ด้วยยอดขายรวมมูลค่า 4.118 หมื่นล้านยูโร โดยเป็นการเติบโตแบบดับเบิ้ลดิจิต (เลขสองหลัก) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และโตเหนือตลาดรวมที่โต 8% สำหรับในประเทศไทย ตลาดความงามในปี 2566 เติบโตถึง 12% และมีมูลค่ารวม 2.85 แสนล้านบาท โดยลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตแบบดับเบิลดิจิตต่อเนื่อง และโตเหนือตลาดเช่นเดียวกัน

นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา กล่าวว่า “ปี 2566 เป็นอีกหนึ่งปีทองของตลาดความงาม ซึ่งลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทยยังคงขีดความสามารถในการแข่งขันและเป็นผู้นำในตลาดความงามในหลายเซกเมนต์ได้อย่างประสบความสำเร็จ ท่ามกลางความท้าทายจากคู่แข่งที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมาย และผู้บริโภคที่มีความสนใจในความงามที่แตกต่างและหลายหลายรูปแบบ โดยลอรีอัล ประเทศไทย นับเป็นหนึ่งในตลาดหลักของภูมิภาค SAPMENA (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และ แอฟริกาเหนือ) และแม้จะบอกตัวเลขเฉพาะเจาะจงไม่ได้ แต่สามารถบอกได้ว่า เรายังสามารถคงอัตราการเติบโตสองหลักเหนือตลาดได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับภูมิภาค SAPMENA ซึ่งเติบโตที่ 23.2%”

“ในประเทศไทย เรามีการ์นิเย่ เป็นแบรนด์ความงามที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 และมี เมย์เบอลีน เป็นแบรนด์เครื่องสำอางอันดับ 1 และแบรนด์ใหญ่อย่าง ลอรีอัล ปารีส ทำให้กลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภค (consumer product) ของเรามีความแข็งแรงอย่างมาก ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอางก็เป็นกลุ่มที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นที่จับตามอง ทั้ง ลา โรช-โพเซย์ ที่เป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มดูแลสิว และเซราวี ที่เป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มโลชั่นทาตัว และคลีนเซอร์ ก็เป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดไทย ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง อย่าง ลังโคม ไบโอเธิร์ม อีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ ฯลฯ ก็เป็นกลุ่มที่มีแฟนคลับตัวยงใช้อย่างต่อเนื่อง และมีการเติบโตขึ้น รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ที่แม้จะไม่มีตัวเลขชัดเจนเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้าไปยังซาลอนต่างๆ โดยตรงก็มีตลาดที่เข้มแข็งเช่นกัน” นายแพทริค กล่าว

แพทริค ย้ำว่า ลอรีอัลกรุ๊ปในประเทศไทย ยังคงดำเนินการภายใต้กลยุทธ์ One L’Oréal และจะผลักดันทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว กลุ่มผลิตภัณฑ์เมคอัพ ให้ผ่านการจุดกระแสนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดออนไลน์และออฟไลน์ในทุกเซกเมนต์ โดยลอรีอัลตระหนักดีว่าการจะบรรลุความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนจำต้องมีทีมงานที่เข้มแข็ง ลอรีอัล กรุ๊ป จึงมุ่งมั่นพัฒนาบุคลากรรอบด้าน เสริมสร้างศักยภาพและการมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กร รวมถึงนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำงานและยกระดับสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน เพื่อส่งเสริมให้ทีมงานได้สร้างสรรค์ผลงานอย่างมีประสิทธิภาพพร้อมมีความสุขในการทำงาน อันเป็นที่มาของการเปิดตัว บ้านโบเต้ (Baan Beaute) สำนักงานใหม่ของกรุ๊ป

ด้านนางสาวอรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและองค์กรสัมพันธ์ ลอรีอัล ประเทศไทย เปิดเผยว่า “Baan Beauté” (บ้านโบเต้) สำนักงานใหญ่แห่งใหม่และศูนย์กลางของลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ One L’Oréal ทึ่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นอันดับแรก โดยสำนักงานแห่งนี้ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Beauty Meets Technology & Sustainability เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ทำงานร่วมกันของพนักงานเพื่อยกระดับสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน อีกทั้งยังมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุดล้ำที่นอกจากจะช่วยให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว แต่ออกแบบมาโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นให้ประหยัดพลังงานและทรัพยากรตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนของลอรีอัลอีกด้วย

“นอกจากนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป ยังตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินธุรกิจเพื่อสานต่อพันธสัญญาด้านความยั่งยืน “L’Oréal for the Future” ทั้งนี้ ในปี 2567 ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทยมีเป้าหมายลดการทำลายสินค้า ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ และดำเนินงานด้านสังคมอย่างต่อเนื่อง ในปี 2566 ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย ดำเนินโครงการเพื่อมุ่งสร้างอาชีพให้แก่สตรี โดยได้พัฒนาทักษะอาชีพช่างผมให้สตรีไทยแล้วกว่า 100 คนในโครงการ BEAUTY FOR A BETTER LIFE ช่วยให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสราว 200 คน ได้รับการจัดจ้างงานจากโครงการ Solidarity Sourcing มีการส่งเสริมบทบาทของสตรีในแวดวงวิทยาศาสตร์ โดยมอบทุนสนับสนุนงานวิจัยแก่นักวิทยาศาสตร์หญิงไทยมานาน 22 ปี นอกจากนั้น ในระดับแบรนด์ ลอรีอัล ปารีสยังคงผลักดันโครงการ Stand Up Against Street Harassment ร่วมกับมูลนิธิรักษ์ไทยเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามบนท้องถนนรวมถึงแนวทางป้องกัน เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ดียิ่งขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมการอบรมในโครงการนี้มาแล้วกว่า 18,000 คน ด้าน Maybelline New York ก็ได้เปิดตัวโครงการ Brave Together ร่วมกับมูลนิธิสติแอพในการช่วยเหลือการเข้าถึงการปรึกษาปัญหาทางใจ รวมถึง YSL Beauty Thailand เองก็ได้จัดอบรมเกี่ยวกับสัญญาณเตือนความรุนแรงในคู่รักกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เพื่อสร้างความตระหนักรู้ สร้างพลังให้กับผู้หญิง โดยมีผู้เข้ารับการอบรมแล้ว 670 คน และตั้งเป้าจะขยายการทำงานเพื่อสังคมออกไปให้ได้มากที่สุดอีกด้วย” นางสาวอรอนงค์ กล่าว

Related Posts

Send this to a friend