ประมงพื้นบ้าน ค้านกฎกระทรวง กำหนดเขตทะเลชายฝั่งฉบับใหม่ 23 จังหวัดติดทะเล
ผู้ประกอบการเรือประมงพื้นบ้าน และกลุ่มประมงพาณิชน์ขนาดเล็ก จ.สตูล เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชะลอการประกาศกฎกระทรวง ที่ห้ามทำประมงใกล้เกาะบูโหลน หน้าเกาะตะรุเตา เกาะกล้วย ฯลฯ เนื่องจากลักษณะพื้นที่ทางทะเลของจังหวัด มีเกาะแก่งจำนวนมาก ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อน จนไม่มีพื้นที่ทำประมง
ตัวแทนชาวประมงพื้นบ้าน ให้ข้อมุลว่า กฎกระทรวงฉบับนี้ไม่ได้รับฟังความคิดเห็นของชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่ ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านได้รับความเดือดร้อน ประมงพื้นบ้านและเรือประมงขนาดเล็กที่ทำการประมงชายฝั่ง ไม่สามารถทำประมงน้ำลึกได้ เพราะหากออกไปจับปลาเกินกว่าที่กำหนดก็จะผิดกฎหมาย และจะถูกปรับในจำนวนเงินที่สูง ขณะที่พื้นที่ทำการประมงทะเลชายฝั่งส่วนใหญ่ในจังหวัด เป็นพื้นที่เขตอุทยานฯ จึงอยากให้ทบทวนกฎหมายฉบับนี้
นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงออกกฎกระทรวงใหม่กำหนดเขตทะเลชายฝั่งฉบับใหม่เป็นรายจังหวัด จำนวน 23 จังหวัดชายทะเล ได้แก่ จังหวัดกระบี่ ชลบุรี ตรัง ตราด พังงา ภูเก็ต ระนอง สตูล สุราษฎร์ธานี จันทบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และกรุงเทพมหานคร โดยกำหนดระยะแนวเขตทะเลชายฝั่งเป็น “เส้นตรงลากผ่านจุดพิกัด” จากเดิมที่กำหนดเป็น “เส้นโค้งเว้า”
โดยก่อนหน้านี้ มี 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ ชลบุรี ตรัง ตราด พังงา ภูเก็ต ระนอง สตูล และสุราษฎร์ธานี ยังคงมีเขตทะเลชายฝั่งที่มีลักษณะเป็นเส้นโค้งเว้า ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนของพื้นที่ทำการประมง ส่งผลให้ชาวประมงได้รับความเดือดร้อน เกิดความขัดแย้งระหว่างประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ เนื่องจากการเข้าไปทำการประมงในเขตทะเลชายฝั่งโดยไม่ตั้งใจ และยังขาดการมีส่วนร่วมในการกำหนดเขตอย่างแท้จริง
กรมประมงเชื่อมั่นว่า กฎกระทรวงฉบับใหม่รายจังหวัด จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ อีกทั้งการกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง มิใช่เพียงแค่แก้ไขความขัดแย้งของชาวประมงเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อการบริหารจัดการทรัพยากรในแต่ละพื้นที่ ภายใต้บริบทของวิถีการทำประมงในพื้นที่นั้นๆ เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำ และการบริหารจัดการการทำประมงให้เกิดความยั่งยืน ควบคู่ไปกับความมั่นคงในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
