เจ้าหน้าที่ ขสป.ห้วยขาแข้ง ปะทะกลุ่มพรานป่าอาวุธครบมือ ระหว่างล่าค่าง พรานเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 1 ราย
นายรุ่งโรจน์ อัศวกุลธารินท์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง พบผู้ลักลอบล่าสัตว์ ระหว่างการตรวจลาดตระเวนเชิงคุณภาพ และการออกตรวจเพื่อป้องกันและปราบปราม
โดยพบพรานอาวุธครบมือจำนวนหลายคน หลายกลุ่ม เข้าล่าค่างบริเวณป่าเขาน้ำเย็น ป่าห้วยขมิ้น ป่าไซเบอร์ ป่าห้วยอีซะ ป่ายอดห้วยยาว และป่ายอดห้วยคอม้า ขณะที่ภาพจากกล้องดักถ่ายที่อยู่ในบริเวณนั้น พบเห็นว่า มีบุคคลถืออาวุธปืนและแบกกระสอบปุ๋ยหลายคน เข้ามาล่าสัตว์ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยพิทักษ์ป่าไซเบอร์ และหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยอีซะ ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
ข้อมูลจากสายข่าวยังแจ้งว่า มีการนำซากค่างซึ่งแปรรูปเป็นส้มค่าง ออกจำหน่ายในพื้นที่ ต.ทองหลาง อ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี เมื่อทำการเข้าลาดตระเวน ตรวจสอบบริเวณป่ายอดห้วยคอม้า ยังพบซากเศษหนังค่างที่ถูกทิ้งไว้บริเวณปางพักของผู้ต้องสงสัย และพิสูจน์ทราบได้ว่า มักจะมีการเข้าออกมาใช้พื้นที่เพื่อการล่าสัตว์ป่าและเก็บหาของป่าอยู่สม่ำเสมอ สังเกตได้จากร่องรอยการทิ้งขยะที่เกิดจากการเข้ามาใช้พื้นที่ การทำปางพัก รอยก่อกองไฟรอยที่นอนจำนวนหลายคน
เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ได้เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบลาดตระเวนพื้นที่ดังกล่าว พร้อมกับวางแผนการปฏิบัติงาน เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบล่าค่าง กระทั่งวันที่ 14 ม.ค. 66 เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าซับป่าพลู จำนวน 5 นาย ลาดตระเวนเข้าพื้นที่ตามแผนที่ได้รับมอบหมายในช่วงเช้า ได้ยินเสียงปืนจำนวน 5 นัด จากทิศตะวันตก ห่างจากจุดที่เจ้าหน้าที่ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร จึงรายงานหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งทราบ
พร้อมประสานกำลังจากเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าห้วยอีซะ เข้าร่วมกันตรวจสอบตามทิศทางที่ได้ยินเสียงปืน โดยแยกเป็น 2 ชุด คือชุดหน่วยพิทักษ์ป่าซับป่าพลู จำนวน 5 นาย และชุดหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยอีซะ จำนวน 4 นาย โดยขณะเข้าตรวจสอบ พบชายไม่ทราบชื่อ จำนวน 3 คน ตะโกนว่า “อนุรักษ์” ทิศทางมาจากกลุ่มชายดังกล่าว ชุดหน่วยพิทักษ์ป่าซับป่าพลูจึงแสดงตัวเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ก่อนจะมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จากทิศทางกลุ่มชายดังกล่าว
เจ้าหน้าที่จึงหมอบเข้าที่กำบัง และยิงปืนออกไปตอบโต้ทันที เพื่อป้องกันตัว จากนั้นได้ถอยร่นกลับไปยังจุดปลอดภัย เพื่อประสานหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยอีซะ เข้ามาเป็นกำลังเสริม และร่วมกันเข้าตรวจสอบพื้นที่จุดปะทะ ตรวจพบอาวุธปืน 3 กระบอก ประกอบด้วย อาวุธปืนลูกซองเดี่ยวแบบหักลำกล้อง จำนวน 1 กระบอก , อาวุธปืนลูกกรดขนาด .22 ติดลำกล้อง จำนวน 2 กระบอก และอุปกรณ์ดำรงชีพในป่าอีกหลายรายการ
ถัดไปประมาณ 100 เมตร พบชายไม่ทราบชื่อ 1 คน อยู่ในลักษณะนอนหงายตรวจสอบพบว่าเสียชีวิตจากการปะทะ นอกจากนี้ยังพบของกลาง เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ประกอบด้วย
ลำดับที่ 17 ค่างแว่นถิ่นเหนือ (Presbytis phayrei) จำนวน 3 ซาก น้ำหนัก 23.9 กิโลกรัม ซากค่างรมควัน จำนวน 1 ซาก น้ำหนัก 1.1 กิโลกรัม ซากชิ้นส่วนค่างรมควัน จำนวน 20 ชิ้น น้ำหนัก 830 กรัม พร้อมส้มค่าง จำนวน 3 ถุง น้ำหนัก 60 กิโลกรัม
ลำดับที่ 134 พญากระรอกดำ (Ratufa bicolor) จำนวน 1 ซาก น้ำหนัก 760 กรัม และลำดับที่ 151 ลิงลม หรือ นางอาย (Nycticebus coucang) จำนวน 1 ซาก น้ำหนัก 300 กรัม
จากการตรวจสอบยังพบว่า ผู้กระทำความผิดได้เข้ามาในป่าห้วยขาแข้งประมาณ 3 วันแล้ว มีการล่าสัตว์ป่าอย่างต่อเนื่อง เมื่อล่าแล้ว ได้ทำส้มค่างและรมควันไว้ คาดว่าน่าจะเดินทางกลับในวันเกิดเหตุ จึงได้แบ่งซากสัตว์ป่าออกเป็นส่วนๆ ส่วนละเท่าๆ กัน เพื่อสะดวกในการขนย้าย โดยหากเดินทางออกไปจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งแล้ว สามารถที่จะแยกย้ายกลับบ้านของตนเองได้เลย เพื่อนำส้มค่างไปขายให้กับผู้ที่สนใจ ในราคากิโลกรัมละ 550-600 บาท หากขายได้ทั้งหมด จะได้เงินประมาณ 11,000 – 12,000 บาท ต่อคน แต่ถ้ารวมทั้งหมด จะอยู่ที่ 33,000 – 36,000 บาท ยังไม่รวมซากอื่นๆที่รมควัน
เวลาต่อมา เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ได้รับโทรศัพท์จากญาติผู้บาดเจ็บจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ว่า ถูกยิง ได้รับบาดเจ็บที่ขา ขอให้เจ้าหน้าที่พาตัวผู้บาดเจ็บออกไปรักษาพยาบาล เจ้าหน้าที่จึงเข้าค้นหาและพบผู้บาดเจ็บ ก่อนทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และนำออกจากที่เกิดเหตุ พบว่าเป็นชาย อายุ 24 ปี ได้รับบาดเจ็บที่ขาสองข้าง ส่วนผู้เสียชีวิต อายุ 21 ปี ขณะที่ชายที่หลบหนีไปอีกคน ยังไม่ทราบชื่อ
จากการตรวจสอบประวัติการกระทำความผิด พบว่าหนึ่งในผู้ต้องหา เคยกระทำความผิดฐานล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งมาแล้ส โดยล่าตะกวด จำนวน 2 ตัว เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 61 ศาลจังหวัดอุทัยธานีพิพากษาว่ากระทำผิดจริง โทษรวมจำคุก 33 เดือน ปรับ 44,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี












