กทม. ติดตามสถานการณ์น้ำ ‘เจ้าพระยา’ เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนต่อเนื่อง

วันนี้ (15 ต.ค. 64) พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา และการเฝ้าระวังผลกระทบน้ำทะเลหนุน ว่า กรุงเทพมหานคร ติดตามสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท เขื่อนพระรามหก จังหวัดอยุธยา รวมถึงจุดวัดปริมาณน้ำอำเภอบางไทร ของกรมชลประทานที่ผ่านมาถึงปัจจุบันพบว่ามีการระบายน้ำที่จะไหลผ่านลงมาพื้นที่กรุงเทพฯได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยเช้าวันนี้(15 ต.ค.64) บางไทรปริมาณน้ำผ่าน 2,560 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งได้มีการระบายสูงสุดถึง3,104 ลบ.ม.ต่อวินาที เมื่อวันที่ 6 ต.ค.64 ในส่วนของกรุงเทพมหานครได้มีการตรวจวัดระดับน้ำที่ประตูระบายน้ำปากคลองตลาดพบว่าน้ำขึ้นสูงสุดวันที่ 14 ต.ค.64 อยู่ที่ระดับ +1.90 ม.รทก.ซึ่งยังอยู่กว่าระดับของแนวป้องกันน้ำท่วมฯ +1.10 ม.รทก.(ระดับความสูงของแนวป้องกันบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ถึงสะพานพุทธฯ ความสูง +3.00 ม.(รทก.) สถานการณ์แนวริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณพื้นที่กรุงเทพมหานครยังอยู่ในภาวะปกติ
อย่างไรก็ตาม กทม.มีการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่หน่วยเบส สถานีสูบน้ำ บ่อสูบน้ำตามแนวริมแม่น้ำ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจจะมีน้ำเอ่อล้นไหลเข้าท่วมพื้นที่บริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
สำหรับการบริหารจัดการน้ำนอกแนวคันกั้นน้ำกรุงเทพมหานครได้ช่วยระบายน้ำในแนวคลองหกวาสายล่าง โดยเปิดประตูระบายน้ำคลองสองสายใต้ ประตูระบายน้ำคลองสามวา และประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ (ตอนหนองใหญ่) เพื่อช่วยระบายน้ำจากจังหวัดปทุมธานีผ่านเข้ามายังพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ส่วนทางด้านตะวันออกรับน้ำด้านนอกคันผ่านทางคลองแสนแสบโดยใช้ประตูระบายน้ำแสนแสบ(มีนบุรี) และประตูระบายน้ำแสนแสบ(บางชัน) คลองประเวศบุรีรมย์ใช้ประตูระบายน้ำคลองประเวศน์(ลาดกระบัง)และประตูระบายน้ำประเวศน์(กระทุ่มเสือปลา)เพื่อเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นในจากนั้นจึงใช้อาคารบังคับน้ำที่มี ได้แก่ ประตูระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ อุโมงค์ระบายน้ำในการทำหน้าที่เร่งระบายน้ำออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งได้มีการเดินเครื่องสูบน้ำตลอดเวลา และติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ รวมไปถึงการควบคุมระดับการ เปิด-ปิด ประตูระบายน้ำให้มีความสัมพันธ์กับการเดินเครื่องสูบน้ำและปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่
สำหรับแนวป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ ความยาวประมาณ 87.93 กิโลเมตร ซึ่งเป็นแนวป้องกันตนเองของเอกชนหรือหน่วยงานอื่น ยาวประมาณ 8.30 กิโลเมตร (ปี 2563 มีแนวป้องกันตนเอง ยาวประมาณ 9 กิโลเมตร ลดลง 700 เมตร)และเป็นแนวป้องกันน้ำท่วมของกรุงเทพมหานคร ซึ่งก่อสร้างโดยสำนักการระบายน้ำ ความยาวประมาณ 79.63 กิโลเมตร (ปี2563 มีแนวป้องกันน้ำท่วมของกรุงเทพมหานคร ยาวประมาณ 78.93 กิโลเมตร เพิ่มขึ้น 700 เมตร) โดยมีค่าระดับความสูงของแนวป้องกันน้ำท่วม ดังนี้

1. ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงสะพานพระราม 7 ถึงสะพานกรุงธนบุรี ความสูง +3.50 ม.(รทก.)
2. ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงสะพานกรุงธนบุรี ถึงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ความสูง +3.25 ม.(รทก.)
3. ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ถึงสะพานพุทธฯ ความสูง +3.00 ม.(รทก.)
4. ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงสะพานพุทธฯ ถึงบางนา ความสูง +2.80 ม.(รทก.)
5. ริมคลองบางกอกน้อยและคลองมหาสวัสดิ์ ความสูง +3.00 ม.(รทก.)
นอกจากนี้ ได้ดำเนินการเรียงกระสอบทรายริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ในบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันถาวร และบริเวณที่แนวป้องกันมีระดับต่ำ จำนวนทั้งสิ้น 76 จุด ครอบคลุม 17 เขต ความยาว 2,918 เมตร ความสูงประมาณ +2.30 ถึง +2.40 ม.รทก. ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ ใช้กระสอบไปทั้งสิ้น 92,400 ใบ กระสอบบรรจุแล้วคงเหลือ 11,000 ใบ (ใต้สะพานรัชวิภาฯ 2,000 ใบศูนย์ฯบึงหนองบอน 1,000 ใบ ใต้สะพานพุทธมณฑลสาย 1 ใบ ใต้สะพานทางด่วนสาทร 3,000 ใบ ใต้สะพานแก้มลิงบางแค 5,000 ใบ) ความพร้อมกระสอบเปล่า 1,040,000 ใบ (อยู่ระหว่างจัดซื้อ 300,000 ใบ)
ในด้านการเตรียมความพร้อมอื่นๆ สำนักการระบายน้ำได้จัดเตรียม Big Bag 200 ใบ ตะกร้าใส่ทรายสำหรับเรียงกระสอบ 5,150 ใบ และพนังกั้นน้ำฉุกเฉิน 9 เส้น (1 เส้นมีความยาว 15 เมตร) พร้อมดำเนินการตรวจสอบความพร้อมและความมั่นคงแข็งแรงของแนวคันกั้นน้ำตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ เบื้องต้นได้มอบหมายสำนักการระบายน้ำประสานสำนักงานเขตลงพื้นที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน โดยแจกยารักษาโรค อาหาร และเข้ารับฟังปัญหาจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงตรวจสอบสภาพพื้นที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบน้ำเอ่อล้น
สำหรับชุมชนที่อยู่นอกแนวคันป้องกันน้ำท่วมของกทม. ที่ไม่สามารถเรียงประสอบทรายเพื่อเป็นคันป้องกันน้ำท่วมได้ สำนักการระบายน้ำได้ประสานกรมเจ้าท่าในการใช้มาตรการเรื่องการเดินเรือเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับบ้านเรือนของประชาชน
ทั้งนี้ เพื่อให้น้ำเหนือหลากและเมื่อน้ำทะเลที่ขึ้นหนุนสูงได้ไหลลงอ่าวไทยได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นกรุงเทพมหานครได้ประสานงานกองทัพเรือขอสนับสนุนเรือผลักดันน้ำ จำนวน 12 ลำ ติดตั้งในคลองลัดโพธิ์ โดยเรือผลักดันน้ำเรือ 1 ลำ มีประสิทธิภาพระบายน้ำ 100,000 ลบ.ม./วัน มีประสิทธิภาพระบายน้ำได้ 1,200,000 ลบ.ม./วัน นอกจากนี้ หากมีฝนตกหนักทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นทางกองทัพเรือก็จะสนับสนุนเรือผลักดันน้ำติดตั้งเพิ่มเติม โดยประสานงานร่วมกันระหว่าง กทม. กรมอุทกศาสตร์ และกรมชลประทาน ในการติดตามสถานการณ์น้ำขึ้น น้ำลง และการเดินเครื่องเรือผลักดันน้ำให้สัมพันธ์กับการเปิดปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ จนกว่าสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะคลี่คลาย
อนึ่ง การใช้เรือผลักดันน้ำ นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำในกรุงเทพมหานครแล้วยังช่วยเสริมเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ต้นน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลงมา เริ่มจากสิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา สระบุรี ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี ซึ่งปริมาณน้ำจะไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาลงมาช่วยในการผลักดันน้ำให้ออกสู่อ่าวไทยได้เร็วขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่อาจจะเอ่อท่วมพื้นที่ในจุดเสี่ยงนอกแนวคันกั้นน้ำและจุดที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำท่วมถาวรหรือพื้นที่ลุ่มต่ำได้