AROUND THAILAND

ไม่มี ‘No Man’s Land’ มีแต่ดินแดนไทย ที่ยังไม่ปักปันเขตแดน

เปิดปมพิพาท ‘สมรภูมิช่องบก’ ชนวนเหตุกัมพูชายื่นศาลโลก โดยไม่สน MOU 43

ปมพิพาท ‘สมรภูมิช่องบก’ กลายเป็นชนวนเหตุที่รัฐบาลกัมพูชาเตรียมนำข้อพิพาทเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชาไปสู่ศาลโลก โดยไม่สนการเจรจาปักปันเขตแดนตามข้อตกลง MOU 2543

The Reporters รวบรวมข้อเท็จจริงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ช่องบก หรือสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อ 3 ประเทศระหว่างไทย-ลาว-กัมพูชา บริเวณ ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กับ เมืองมูนละปะโมก แขวงจำปาสัก สปป.ลาว และ อ.จอมกระสานต์ จ.พระวิหาร กัมพูชา เนื้อที่ 12 ตารางกิโลเมตร

จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2568 ทหารกัมพูชาก่อเหตุเผาศาลาตรีมุข หรือศาลรวมใจ ที่ไทยสร้างขึ้นในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ตั้งแต่ปี 2534 เพื่อใช้เป็นสถานที่ประสานงานของ 3 ประเทศ ก่อนจะรุกล้ำนำกำลังทหารเข้ามาในดินแดนของไทย และขุดคูเลก จนนำมาซึ่งการปะทะในวันที่ 28 พ.ค. 2568

ทำความเข้าใจสภาพพื้นที่ง่าย ๆ ว่า พื้นที่ช่องบก เป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดน และไทยกับกัมพูชาได้ทำบันทึกข้อตกลง MOU 2543 เพื่อทำการปักปันเขตแดน โดยไทยและกัมพูชายึดตามเส้นแบ่งเขตแผนที่ที่บางจุดต่างกัน ซึ่งไทยยึดตามแผนที่ 1:50,000 ที่ทำโดยกรมแผนที่ทหาร ในขณะที่กัมพูชายึดตามแผนที่ 1:200,000 ที่ทำมาตั้งแต่สมัยสนธิสัญญาฝรั่งเศส และมีการกำหนดจุดวางกำลังทหารที่ปฏิบัติกันมา โดยทหารกัมพูชาตั้งฐานอยู่ห่างจากเส้นแบ่งเขตแดนที่ไทยยึดถือ ออกไป 1 กิโลเมตร ส่วนไทยตั้งฐานห่างจากเส้นเขตแดนออกมา 1.5 กิโลเมตร ซึ่งจุดนั้นมีฐานอนุพงษ์ของไทยตั้งอยู่

สำหรับศาลาตรีมุข ตั้งอยู่ห่างจากเส้นเขตแดนที่ไทยยึดถือไปในฝั่งกัมพูชา 500 เมตร แต่ที่ผ่านมา ไทยสามารถเข้าออกพื้นที่ศาลาตรีมุขได้เช่นกัน เพราะเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ปักปันเขตแดน และบริเวณนั้นไม่มีทหารประจำการ

เมื่อทหารกัมพูชาเผาศาลาตรีมุข ในวันที่ 28 ก.พ. 68 สถานการณ์เริ่มตึงเครียด เพราะทหารกัมพูชาได้นำกำลังรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของไทย บริเวณต้นพญาสัตบรรณ ซึ่งตั้งอยู่ห่างเส้นเขตแดนมาในฝั่งไทย 150 เมตร และทหารกัมพูชาได้เริ่มขุดคูเลก เป็นแนวยาว 500-600 เมตร ระหว่างนั้นทหารไทยได้ประท้วงและเจรจาให้ทหารกัมพูชาได้นำกำลังถอยกลับไปยังที่ตั้งที่ได้ตกลงกันและยึดถือมาตั้งแต่ปี 2567 แต่ทหารกัมพูชาไม่ยอมถอย

ทำให้ในวันที่ 28 พ.ค. 68 จึงมีการปะทะกันระหว่างทหารกัมพูชาและทหารไทย เป็นเหตุให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย เพราะกัมพูชาละเมิดข้อตกลง นำกำลังรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของไทย สถานการณ์จึงตึงเครียดมากขึ้นตามลำดับ

ท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาที่จะนำปัญหาพิพาทที่ช่องบก รวมถึงปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตากระบือ และปราสาทตาเมือนโต๊ด ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก และจะไม่นำข้อพิพาททั้ง 4 จุดนี้ หารือในคณะกรรมาธิการว่าด้วยการกำหนดเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ในวันที่ 14 มิ.ย. นี้ เป็นท่าทีที่สะท้อนว่า กัมพูชาไม่สนข้อตกลง MOU 43 อีกต่อไป

ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะต่างจากท่าทีของไทย ที่ล่าสุดแถลงการณ์ของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยืนยันว่า

“รัฐบาลไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 และยืนยันการใช้กระบวนการเจรจาแบบทวิภาคีตาม MOU 2543 ซึ่งทั้งสองฝ่ายเคยเห็นพ้องร่วมกัน และยืนยันให้การประชุม JBC เป็นเวทีเพื่อหาทางออกโดยสันติวิธีอย่างเร็วที่สุด”

จากข้อเท็จจริงในสมรภูมิช่องบก จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยต้องยืนยันในข้อเท็จจริง และการกระทำของทหารกัมพูชาในการรุกล้ำดินแดนไทย และละเมิดข้อตกลง จึงนำมาซึ่งการเรียกร้องให้มีการปรับกำลังในพื้นที่ของทั้งสองฝ่ายให้กลับสู่ที่ตั้งเดิมตามการปฏิบัติในปี พ.ศ. 2567 เพื่อลดเงื่อนไขการยกระดับความตึงเครียดและการเผชิญหน้า

แต่สุดท้ายกัมพูชาก็ไม่ยินยอม พล.อ.เตีย เสฮา (Tea Seiha) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ประกาศว่าจะไม่ถอนกำลังกลับไปตามข้อเรียกร้องของไทย

สำหรับ MOU 2543 หรือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 เป็นบันทึกข้อตกลงที่ไทยกับกัมพูชาลงนามกันเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2543 มีขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่าง 2 ประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังไม่ได้ปักปันเขตแดน

สถานการณ์ ‘สมรภูมิช่องบก’ จึงยังมีการเผชิญหน้าระหว่างทหารกัมพูชาและทหารไทย ที่มีความเสี่ยงต่อการปะทะที่จะนำไปสู่สงครามได้ตลอดเวลา ไทยจะทำอย่างไร ให้กัมพูชากลับมาเจรจาภายใต้กรอบทวิภาคี โดยไม่ฉีกข้อตกลง MOU 43 ในขณะที่กัมพูชาประกาศเดินหน้านำเรื่องสู่ศาลโลก ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตา!!!

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat