หัวเว่ย ประกาศเดินหน้าสู่เทคโนโลยี 5.5G พลักดันธุรกิจสู่โลกอัจฉริยะ
นายหลี่ เผิง ประธานกลุ่มธุรกิจโครงข่ายของหัวเว่ย ได้กล่าวปาฐกถาในการประชุม Day 0 Forum ภายในงาน Mobile World Congress (MWC) Barcelona 2023 เกี่ยวกับการที่ 5G ได้เปิดประตูพาผู้คนไปสู่โลกอัจฉริยะ และการก้าวย่างไปสู่เทคโนโลยี 5.5G ที่เป็นหมายสำคัญต่อการเดินทางครั้งนี้ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ภาคอุตสาหกรรม จะต้องร่วมมือกัน เพื่อการเดินหน้าสู่โลกอัลตราบรอดแบนด์อัฉริยะ ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยต้นแบบธุรกิจ “GUIDE” ซึ่งหัวเว่ยได้จัดทำขึ้น จะสามารถช่วยวางรากฐาน ไปสู่ความสำเร็จดังกล่าวนี้ได้
นายหลี่ กล่าวว่า “ภายในปลายปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ทั่วโลกได้มีการวางโครงข่าย 5G ที่ให้บริการในเชิงพาณิชย์ ไปแล้วมากกว่า 230 โครงข่าย รองรับผู้ใช้งาน 5G มากกว่า 1 พันล้านราย และอุปกรณ์ 5G อีกจำนวนมาก เครือข่าย 5G จึงมีส่วนช่วยผลักดัน การพัฒนาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมไอซีที ในส่วนของตลาดผู้บริโภคนั้น ผู้ให้บริการโครงข่ายได้พัฒนาแนวคิด “การเชื่อมต่อ+” (Connectivity+) ขึ้น ขณะที่ศักยภาพของ 5G พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ให้บริการเครือข่ายชั้นนำในยุโรป เอเชียแปซิฟิก และตะวันออกกลาง ได้คิดค้นบริการดิจิทัลใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ผู้ให้บริการบางรายยังได้ผสานการเชื่อมต่อ เข้ากับบริการประเภท Over-the-top (OTT) ในประเทศเพื่อสร้างความสำเร็จร่วมกัน บริการเหล่านี้ล้วนเป็นการบูรณาการ การเชื่อมต่อและบริการด้านดิจิทัล เช่น โซเชียลมีเดียไว้ด้วยกัน และช่วยยกระดับธุรกิจให้เติบโตสู่ผู้ให้บริการดิจิทัลแบบครบจบในที่เดียว”
นอกจากนี้ตลาดครัวเรือนยังกลายเป็นพื้นที่ ที่ผู้ให้บริการสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น ในขณะที่ 5G และเครือขายไฟเบอร์กำลังเติบโต ขยายความครอบคลุมอย่างต่อเนื่อง ผู้ให้บริการจึงขยาย “การเชื่อมต่อ+” เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น บริการที่ยอดเยี่ยมมากขึ้น รวมถึงการดำเนินการและดูแลรักษา (O&M) ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น บริการบรอดแบนด์ภายในบ้านระดับพรีเมียม เช่น 5G FWA และ 10G PON จึงขยายตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้ผู้ให้บริการในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงในยุโรปและตะวันออกกลาง มีรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน (ARPU) เพิ่มขึ้น 30-60%
ในอนาคตโลกอัจฉริยะจะผสานเข้ากับ โลกจริงทางกายภาพในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความบันเทิงส่วนตัว การทำงาน และการผลิตทางอุตสาหกรรม จะเชื่อมต่อกันอย่างอัจฉริยะ นั่นหมายความว่าเครือข่ายจะพัฒนา จากหลักกิกะบิต (Gbps) ไปสู่หลัก 10 กิกะบิต ที่สามารถเข้าถึงได้อย่างแพร่หลาย การเชื่อมต่อและเซ็นเซอร์ต่างๆ จะได้รับการผนวกรวมกัน และอุตสาหกรรมไอซีที จะเปลี่ยนจากการใช้พลังงานแบบทั่วไป ไปสู่การประหยัดพลังงานแทน ทั้งนี้ วิวัฒนาการจาก 5G ไปสู่ 5.5G คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรม ตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ได้
หัวเว่ยพร้อมที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตร ในอุตสาหกรรมเพื่อส่งมอบประสบการณ์ระดับ 10 กิกะบิตสำหรับทุกคน ด้วยเทคโนโลยีไร้สาย ออพติคอล และ IP ที่เปี่ยมนวัตกรรม พร้อมทั้งสำรวจกรณีการใช้งานต่างๆ เช่น การทำงานร่วมกันระหว่างยานพาหนะกับถนน และการตรวจสอบสภาพแวดล้อมเพื่อบูรณาการเซ็นเซอร์และการสื่อสาร และสร้างระบบตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพการใช้พลังงานแบบครบวงจร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ภายในงานประชุมหัวเว่ย ได้นำเสนอคุณลักษณะสำคัญทั้ง 5 ประการของ 5.5G ซึ่งประกอบด้วย 1.ประสบการณ์แบบ 10 กิกะบิต 2. รองรับอุปกรณ์ IoT ในทุกรูปแบบ 3.การบูรณาการระบบเซ็นเซอร์ และการสื่อสารอย่างสมบูรณ์แบบ 4.เครือข่ายการขับขี่อัตโนมัติระดับ 4 และ 5. ระบบไอซีทีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งนวัตกรรมเทคโนโลยีแห่งยุค 5.5G จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายได้ดีกว่า 5G ถึง 10 เท่า
สำหรับในประเทศไทย หัวเว่ยพร้อมเดินหน้าผลักดันประเทศไทย สู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของอาเซียน ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะ โดยเริ่มจากการพัฒนาเทคโนโลยี 5G เพื่อขยายการเชื่อมต่อให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งหัวเว่ยเชื่อว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่จะช่วยขับเคลื่อนความก้าวหน้าของสังคม โดยหัวเว่ยจะนำเทคโนโลยีไฟเบอร์ มาใช้เป็นสะพานเชื่อมทุกคนสู่โลกดิจิทัล นอกจากนี้หัวเว่ยจะขยายสัญญาณ 5G ให้ครอบคลุม พื้นที่ต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น และจะยังคงเดินหน้าทำงาน ร่วมกับพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ เพื่อส่งมอบบริการ 5G คุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้