ENERGY

บอร์ดอีวี ไฟเขียวปรับเกณฑ์ EV3-EV3.5 เพิ่มยืดหยุ่น-กั้นรถล้นตลาด ดันไทยฐานผลิตภูมิภาค

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 68 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เปิดเผยผลการประชุมบอร์ดอีวีชุดใหม่ที่มี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าทั้ง EV3 และ EV3.5 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดโลกและไทย โดยเน้นเพิ่มความยืดหยุ่นและป้องกันปัญหาการผลิตล้นตลาด (Oversupply)

สำหรับรายละเอียดการปรับปรุงมาตรการเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น มีดังนี้ -ขยายเวลาจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ ภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5 จากเดิมต้องเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2568 และ 2570 ขยายเป็นภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป -กำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินอุดหนุนเพิ่มเติม โดยกรมสรรพสามิตจะชะลอการจ่ายเงินอุดหนุนหากผู้ประกอบการผลิตล่าช้ากว่าแผน เพื่อป้องกันความเสี่ยง -ปรับปรุงเงื่อนไขการขยายเวลาผลิตชดเชยมาตรการ EV3 ให้ยืดหยุ่นขึ้น โดยอนุญาตให้ผู้เข้าร่วมมาตรการเพิ่มรายชื่อโรงงานคู่สัญญาในมาตรการ EV3.5 เข้ามาในสัญญา EV3 ได้ -ขยายเวลาผ่อนผันการนับมูลค่าวัตถุดิบแบตเตอรี่จากต่างประเทศ ออกไปอีก 6 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2569 โดยปรับลดสัดส่วนให้ไม่เกินร้อยละ 10 ของราคารถหน้าโรงงาน และต้องเสนอแผนจัดหาชิ้นส่วนในประเทศที่ชัดเจน -กำหนดแนวทางสนับสนุนการผลิตรถยนต์ HEV ครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตามเกณฑ์ ECO Sticker, การใช้ชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ และมาตรฐานความปลอดภัยระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ (ADAS)

ส่วนมาตรการเพื่อลดหรือป้องกันปัญหาการผลิตล้นตลาดในประเทศ (Oversupply) มีดังนี้ -ปรับปรุงเงื่อนไขการนับจำนวนผลิตชดเชยเพื่อส่งออก โดยให้นับการส่งออก 1 คัน เท่ากับการผลิตชดเชย 1.5 คัน เพื่อจูงใจการส่งออกและลดผลกระทบต่อตลาดในประเทศ -เพิ่มทางเลือกออกจากมาตรการ สำหรับรถที่นำเข้าแต่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุน สามารถจ่ายคืนส่วนต่างภาษีสรรพสามิตพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม เพื่อลดยอดที่ต้องนำไปคำนวณการผลิตชดเชย

นายนฤตม์ เปิดเผยข้อมูลสถิติช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) ว่า ยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 59 จำนวน 87,112 คัน โดยปัจจุบันบีโอไอส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้แล้วรวม 1.4 แสนล้านบาท

“วันนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็น New Growth Engine ของเศรษฐกิจไทย… บอร์ดอีวีได้ปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกและรักษาเสถียรภาพของตลาดภายในประเทศ นอกจากนี้ การเติบโตของ EV กำลังสร้างดีมานด์ใหม่ให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย และเพิ่มบทบาทของประเทศไทยในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์โลก” นายนฤตม์ กล่าว

Related Posts

Send this to a friend