กทม. พร้อมรับมือน้ำเหนือ–น้ำหนุน มั่นใจ ไม่ซ้ำรอยปี 54
กทม. พร้อมรับมือน้ำเหนือ–น้ำหนุน มั่นใจ ไม่ซ้ำรอยปี 54 ชี้ น้ำลดต่อเนื่อง น้ำหนุนผ่านจุดสูงสุดแล้ว
วันนี้ (12 พ.ย. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำเหนือ และน้ำหนุนในส่วนของกรุงเทพมหานคร
นายชัชชาติ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำหนุนเดือนนี้ไม่น่าห่วงแล้ว เนื่องจากผ่านวันที่มีน้ำหนุนสูงสุดไปแล้ว ซึ่งจะมีน้ำหนุนขึ้นสูงสุดอีกครั้งวันที่ 20 ธ.ค. 68 แต่ไม่สูงมาก สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำเหนือที่น่าจะบรรเทาลง และถ้าไม่มีพายุลูกใหม่เข้ามา สถานการณ์จะคลี่คลายขึ้น ที่ผ่านมา กทม. ปรับปรุงโครงสร้างประตูระบายน้ำที่เคยมีปัญหาในปี 54 ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ทำให้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ไม่น่าเกิดขึ้นแบบปี 54
อย่างไรก็ตาม ที่น่าห่วงคือชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ 11 ชุมชน กว่า 300 หลังคาเรือน โดย กทม. สร้างสะพานไม้ และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้แล้ว ส่วนเรื่องแนวกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วมล้ม ซึ่งเกิดจากปัญหาเรือแล่นเร็วทำให้เกิดคลื่นสูงมากระแทกแนวกระสอบทรายล้ม ได้ประสานกรมเจ้าท่าจัดเจ้าหน้าที่ประจำตามจุดสำคัญ คอยปรามผู้ที่ขับเรือเร็วทำให้เกิดคลื่นสูง นอกจากนี้ ขอส่งกําลังใจให้ประชาชนต่างจังหวัดที่ไม่มีแนวคันกั้นน้ำ ทำให้ต้องได้รับผลกระทบจากน้ำเหนือที่ปล่อยจากเขื่อน อาจทำให้น้ำเข้าไปท่วมในทุ่ง หรือบ้านเรือน
นายวิศณุ กล่าวว่า กทม. สร้างแนวเขื่อนป้องกันน้ำริมเจ้าพระยาไล่ระดับความสูงมาจากทางเหนือ เช่น พื้นที่ติดนนทบุรีจะมีเขื่อนกั้นน้ำสูงกว่า 3.5 เมตร ขณะที่สะพานพุทธฯ ปากคลองตลาด จะเห็นว่ามีแนวเขื่อนป้องกันน้ำริมเจ้าพระยาสูงประมาณ 3 เมตร ซึ่งน้ำเหมือนจะปริ่มล้นแนวเขื่อนกั้นน้ำ แต่ยังต่ำกว่าระดับเขื่อนกั้นน้ำอีกมากกว่า 80 ซม. โดย กทม.เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ขอให้อุ่นใจไม่ต้องกังวล
สำหรับภาพน้ำล้นเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ปรากฏตามสื่อโซเชียลต่าง ๆ เกิดจาก 3 สาเหตุ คือ
1.พื้นที่ฟันหลอของเขื่อนป้องกันน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมามีพื้นที่ฟันหลอ 32 จุด ประมาณ 4 กม. กทม. แก้ไขแล้ว 22 จุด ประมาณ 2.6 กม. เหลือพื้นที่ฟันหลออีกแค่ 10 จุดที่เป็นพื้นที่เอกชน กทม.ต้องขออนุญาตก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำจึงจะสามารถดำเนินการได้
2.ยังมีช่องเปิดต่าง ๆ เช่น บริเวณท่าเรือ ซึ่งเป็นที่สัญจรของประชาชน ไม่สามารถสร้างเขื่อนกั้นน้ำปิดเส้นทางได้ กทม. จึงใช้กระสอบทรายวางแนวกั้นน้ำ หากน้ำรั่วซึมเข้าไปก็สูบน้ำออกมา
3.พื้นที่แนวเขื่อนป้องกันน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีการรั่วซึม ซึ่งจากปี 65 พบประมาณ 120 จุด กทม. แก้ไขจนเหลือ 76 จุด ประมาณ 8 กม. ทำให้เกิดการรั่วซึมเป็นภาพน้ำท่วมที่เห็น
ข้อมูลจากกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ระบุว่า เดือนพฤศจิกายน น้ำทะเลหนุนสูงสุดที่บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ (เขตบางกอกน้อย) วันที่ 9 พ.ย. 68 ฐานน้ำทะเล ระดับ +1.36 ม.รทก. ระดับน้ำคาดหมาย +2.11 ม.รทก. ซึ่งกรุงเทพมหานครตรวจวัดระดับน้ำจุดวัดปากคลองตลาด มีระดับ +2.25 ม.รทก. ต่ำกว่าแนวเขื่อนป้องกันน้ำท่วมกว่า 75 ซม. โดยระดับน้ำทะเลหนุนมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง
กรมชลประทาน รายงานว่า ปริมาณการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งอยู่ในระดับที่แม่น้ำเจ้าพระยารับได้อย่างปลอดภัย บริเวณจุดวัดสามโคก จ.ปทุมธานี มีอัตราการไหลเฉลี่ย 2,400–2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จากศักยภาพการรับน้ำสูงสุดที่ 3,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งระดับน้ำยังต่ำกว่าความจุสูงสุดมาก และไม่มีแนวโน้มที่น้ำเหนือจะท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ สำนักการระบายน้ำ ดำเนินมาตรการเชิงรุกโดยลดระดับน้ำในคลองกว่า 1,980 คลอง และแก้มลิง 33 แห่ง ให้พร้อมรับน้ำฝน, ตรวจสอบความมั่นคงของแนวเขื่อนป้องกันน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมระยะทางกว่า 80 กิโลเมตร, เฝ้าระวังจุดเสี่ยงแนวฟันหลอ 32 จุด (ซ่อมแล้วเสร็จ 22 จุด) รวมถึงแก้ไขแนวรั่วซึมและช่องเปิดท่าเรือ
นอกจากนี้ ยังได้จัดเจ้าหน้าที่ประจำสถานีสูบน้ำ 200 แห่ง และบ่อสูบน้ำ 349 แห่ง รวมถึงเครื่องสูบน้ำกว่า 1,581 เครื่อง เพื่อเร่งระบายน้ำในจุดเสี่ยง พร้อมเครือข่ายโทรมาตรตรวจวัดระดับน้ำแบบเรียลไทม์ และเรดาร์ตรวจอากาศ 2 แห่ง ติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับพื้นที่ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ ปัจจุบันมี 11 ชุมชน 320 หลังคาเรือน ได้จัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ติดตามระดับน้ำต่อเนื่อง พร้อมจัดจุดอพยพชั่วคราว เครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ และแนวทางช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีน้ำเอ่อล้นเข้าพื้นที่ พร้อมประสานหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน รวมทั้งจัดโครงการฟื้นฟูชุมชนหลังน้ำลด













