‘ดร.คเณศ’ ชี้ ตลาดทุนไทยถึงทางตัน ต้องปฏิรูปกฎหมาย–ยกระดับโปร่งใส

‘ดร.คเณศ’ พรรคไทยก้าวใหม่ ชี้ ตลาดทุนไทยถึงทางตัน ต้องปฏิรูปกฎหมาย–ยกระดับโปร่งใส สกัดสแกมเมอร์ฟอกเงิน

วันนี้ (1 พ.ย. 68) ดร.คเณศ วังส์ไพจิตร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคไทยก้าวใหม่ ชี้ ว่า การปฏิรูปกฎหมายตลาดทุนเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของเศรษฐกิจไทยยุคใหม่ และเป็นสิ่งที่ “ต้องทำโดยด่วน” แต่ต้องเดินคู่กับการยกระดับกลไกกำกับดูแลและความโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค

ดร.คเณศ แสดงความเห็นสนับสนุนข้อเสนอของ ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่เสนอให้เร่งแก้ไข “กับดักกฎหมายตลาดทุน” 5 ประเด็นหลัก ได้แก่

1.การบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในตลาดทุนอย่างรวดเร็ว

2.การคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อย โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ “หุ้นค้ำประกัน”

3.การระดมทุนที่ง่ายขึ้นสำหรับธุรกิจยุคใหม่ (New Economy) และบริษัทต่างชาติ

4.การปรับกระบวนการ IPO จากระบบ Merit-based เป็น Disclosure-based เพื่อให้โปร่งใสและตรวจสอบได้

5.การปลดล็อกข้อจำกัดที่ล้าสมัยเพื่อลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ โดยเสนอให้ดำเนินการแบบ Omnibus Law เพื่อปฏิรูปเชิงระบบ

นโยบายเหล่านี้ไม่เพียงช่วย “เพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียน” และ “ดึงดูดบริษัทระดับโลกเข้ามาไทย” แต่ยังเป็นการ สร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย และช่วยให้ไทยก้าวขึ้นเป็น Regional Capital Hub ได้จริงในอนาคต

ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการ ป.ป.ง. กำลังสอบสวนกรณีบริษัทเอกชน 7 แห่งที่ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการ “สแกมเมอร์” และ “ฟอกเงินข้ามชาติ” ซึ่งหลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถูกเรียกให้เข้าชี้แจงต่อ กมธ.

ดร.คเณศ เน้นว่า “ระบบตลาดทุนจำเป็นต้องมีความโปร่งใสมากขึ้น” โดยขอเสนอให้มีกลไกติดตามและตรวจสอบเส้นทางการเงินแบบเรียลไทม์ ระหว่าง ตลท. ปปง. ธปท. เพื่อป้องกันการใช้ตลาดทุนเป็นช่องทางฟอกเงิน พร้อมผลักดัน “RegTech และ Data Transparency Platform” เพื่อให้ข้อมูลธุรกรรมเปิดเผยและตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“การปฏิรูปตลาดทุนไม่อาจมองเพียง “ด้านเศรษฐกิจ” แต่ต้องเชื่อมโยงกับ “ธรรมาภิบาลที่ดี” และ “การคุ้มครองผู้ลงทุน” ซึ่งกำลังเป็นภัยต่อความเชื่อมั่นในระบบการเงินไทยอย่างหนัก”

ดร. คเณศ ย้ำจุดยืนว่า พรรคไทยก้าวใหม่สนับสนุนการปฏิรูปกฎหมายที่ล้าสมัย และจะผลักดันการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม เคร่งครัดและเด็ดขาด เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ “แก้ไว แก้เร็ว โปร่งใส และยั่งยืน”