อธิบดีกรมการปกครอง พร้อมให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ออกมาทำงานใน 43 จังหวัด
อธิบดีกรมการปกครอง พร้อมให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ออกมาทำงานใน 43 จังหวัด ตามหลักเกณฑ์แรงงานต่างด้าว กำชับห้ามเรียกรับประโยชน์
วันนี้ (1 ต.ค. 68) นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยว่า กรมการปกครอง พร้อมแล้วสำหรับการเปิดให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง ใน 4 จังหวัด ได้ออกมาทำงานตามมติคณะรัฐมนตรี 26 ส.ค.68 ซึ่งให้สิทธิผู้หนีภัยการสู้รบได้ออกมาทำงานนอกพื้นที่ได้ ซึ่งกรมการปกครองมีความพร้อมทั้งพื้นที่ต้นทาง และพื้นที่ปลายทาง ที่กำหนดให้เฉพาะ 43 จังหวัดในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก เนื่องจากรับผิดชอบในการดูแลการเข้าออกพื้นที่พักพิงชั่วคราวของผู้หนีภัยการสู้รบ ซึ่งเริ่มดีเดย์ในวันนี้ 1 ตุลาคม 2568 ตามขั้นตอนที่ต้องมีการแจ้งออกจากพื้นที่ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย และการรับเข้าทำงานตามประกาศกระทรวงแรงงาน
อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยว่า จากจำนวนผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาจำนวนกว่า 77,000 คน พบว่ามีช่วงวัยที่เหมาะการทำงานกว่า 46,000 คน และพร้อมทำงานกว่า 12,000 คน ที่กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดงานจะให้นายจ้างเข้ามาคัดเลือกเพื่อนำไปทำงานในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งคาดหวังว่าจะหางานให้ตรงกับแรงงาน
“ที่เริ่มดีเดย์วันนี้ ไม่ใช่ว่าพอเริ่ม 1 ต.ค.68 แล้วจะเปิดค่าย ปล่อยให้ออกไปทำงานเลย ไม่ใช่อย่างนั้น แต่มีขั้นตอนที่ต้องรู้ก่อนจะไปทำงานที่ไหน ทำอะไร ลักษณะงานตรงตามทักษะความสามารถหรือไม่ ซึ่งเราก็ห่วงในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งกระทรวงแรงงานจะดูแล ให้เข้าหลักเกณฑ์เหมือนแรงงานต่างด้าวอื่นๆ”
อธิบดีกรมการปกครอง ยอมรับว่า กรณีภาษาอาจมีปัญหาบ้าง แต่เหมือนแรงงานต่างด้าวอื่นๆ ที่จะมีปัญหาเรื่องภาษาในช่วงต้น แต่เชื่อจะปรับตัวได้ เพราะเป้าหมายของโครงการนี้ เพื่อให้พวกเขาจะได้สิทธิทำงานได้ถูกต้องตามกฏหมาย ไม่ต้องห่วงเรื่องการถูกจับกุมว่าเข้าเมืองผิดกฏหมาย ซึ่งทางองค์กรระหว่างประเทศ จะช่วยฝึกอบรม ฝึกทักษะการทำงาน ก่อนจะออกมาทำงานด้วย เพื่อให้พวกเขาเอาตัวรอดได้ ซื้อหาอาหารได้
“นับตั้งแต่วันนี้คนที่ต้องการแรงงาน สามารถไปติดต่อกรมการจัดหางาน เพื่อไปคัดเลือกแรงงานในพื้นที่พักพิงฯ 9 แห่ง ทั้ง 4 จังหวัด ทั้งจ.ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี ซึ่งวันนี้วันแรก กรมการปกครองสามารถออกเอกสารออกนอกพื้นที่ให้ได้ ด้วยความโปร่งใส ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆตามกฏหมาย”
อธิบดีกรมการปกครอง ยืนยันว่าการขอออกนอกพื้นที่ต้นทาง และการเข้าพื้นที่ปลายทาง ไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้ทุกคนออกไปทำงานได้อย่างสบายใจ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เป็นหน้าที่ของกรมการปกครองในการออกใบออกนอกพื้นที่ต้นทาง ไม่มีใครหาประโยชน์ได้ ถ้าไปแอบหา ผมไม่รู้แต่ให้นายอำเภอต้องตรวจสอบ ไม่ให้หาประโยชน์ เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องกำชับ แต่ถ้าพวกเดียวกันเองต้องดูแลไม่ให้มีเรื่องนี้”
นายนิรัตน์ กล่าวด้วยว่า การเปิดให้ผู้หนีภัยการสู้รบได้ทำงาน นอกจากเป็นไปตามแนวทางมนุษยธรรมแล้ว ประเทศชาติเไทยได้ประโยชน์ ทั้งในด้านมีแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วงแรกนี้จะเปิดรับในภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก ยังไม่มีภาคอีสานและภาคใต้ เพราะพิจารณาเรื่องความต้องการจ้างงาน หากช่วงนำร่องเป็นไปด้วยดี เชื่อว่าจะพิจารณาเปิดในพื้นที่อื่นด้วย
อธิบดีกรมการปกครอง เชื่อว่าผู้หนีภัยการสู้รบจะทำงานได้ดีด้วย เพราะเป็นโอกาสสำคัญ แต่หากไปก่ออาชญากรรมหรือกระทำผิดอื่นๆ ก็ต้องดำเนินการทางกฏหมาย ซึ่งหลังได้เริ่มทำงานไปแล้ว กรมการปกครองจะหารือกับกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เพื่อประเมินผลว่า สามารถมีรายได้ดูแลตัวเองและครอบครัว และเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยอย่างไร และต้องทำให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ถือเป็นประโยชน์ที่ลงตัวของทุกฝ่าย รวมถึงการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน
อธิบดีกรมการปกครอง คาดหวังว่า การคัดเลือกคนที่มีทักษะความสามารถในการทำงานให้ตรงกับปลายทาง นายจ้างที่จ้างได้แรงงานที่ถูกทักษะ และมั่นใจว่าแรงงานจะอยู่ได้อย่าง ปลอดภัย และมีจุดรายงานตัวตามพื้นที่ปลายทาง
สำหรับการรายงานตัวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นายจ้างสามารถนำแรงงานมารายงานตัวแจ้งเข้า ได้ที่ สถานที่รับรายงานตัวและขออนุญาตออกนอกเขตต่อเนื่อง ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา 9 แห่ง อาคาร 4 ชั้น 4 กรมการปกครอง วังไชยา ซึ่งมีเจ้าหน้าที่พร้อมให้รายงานตัวแล้ว และจะใช้เป็นสถานที่ในการรายงานตัวระหว่างการทำงานในระยะเวลา 1 ปี หากเป็นแรงงานที่ได้ทำงานเกิน 6 เดือน นายจ้างจะต้องพามารายงานตัวทุก 4 เดือน ส่วนพื้นที่ปลายทางจังหวัดอื่นๆ ให้ไปรายงานตัว ณ ที่ว่าการอำเภอนั้นๆ
ทั้งนี้ ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา หรือ ผภร.คือ กลุ่มคนที่อพยพหลบหนีภัยจากการสู้รบเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2527 โดยได้รับการรับรองสถานะ ผภร. ผ่านกลไกพิจารณาสถานะบุคคลโดยคณะกรรมการระดับจังหวัด (Provincial Admission Board:PAB)
สำหรับ ผภร. ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย แต่เป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฏหมาย เนื่องจากรัฐบาลไทยมิได้ลงนามเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ ค.ศ.1951 และพิธีสารเกี่ยวกับสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ.1967 จึงทำให้คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในสถานะ ผู้ลี้ภัย (Refugee) แต่เป็นเพียงผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฏหมาย ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ซึ่งรัฐบาลไทยได้พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม จึงผ่อนปรนให้ผู้หนีภัยฯ อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราวฯ ที่ทางรัฐบาลไทยจัดให้ เพื่อรอการส่งกลับมาตุภูมิ เมื่อเหตุการณ์สงบลงหรือไปตั้งถิ่นฐานใหม่
แต่เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศเมียนมายังยื้ดเยื้อ ผภร.เหล่านี้จึงอยู่ในพื้นที่พักพิงฯ ไม่ต่ำกว่า 41 ปีแล้ว มติคณะรัฐมนตรี 26 ส.ค.68 จึงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะได้ออกมานอกพื้นที่พักพิงฯ ได้สิทธิทำงานเหมืองแรงงานต่างด้าว แต่ยังคงมีสถานะเป็นผู้หนีภัยการสู้รบ ที่มีถิ่นที่อยู่ในพื้นที่พักพิงฯ จะมีบัตรประจำตัวใบทะเบียนครอบครัว เมื่อออกมาทำงานจะมีใบอนุญาตทำงานที่ออกให้โดยกรมการจัดหางาน ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี และระหว่างทำงานจะต้องไปรายงานตัวตามสถานที่ที่กรมการปกครองกำหนด












