‘อนุทิน’ จวก ‘จิราพร’ ใช้วาทกรรม ยันยังไม่ใช่ผู้ต้องหาคดีฮั้ว สว.
‘อนุทิน’ จวก ‘จิราพร’ ใช้วาทกรรม ยันยังไม่ใช่ผู้ต้องหาคดีฮั้ว สว. แฉ ‘แพทองธาร’ แอบบอกผู้นำเขมรจะยึด มท.1 ถามจะวางยาชี้ทางไปนรกหรือ หลังถูกจี้ให้ สว.ไฟเขียวแก้รัฐธรรมนูญเหตุขัดกฎหมาย
วันนี้ (30 ก.ย. 68) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระเรื่องด่วน 1 คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในการประชุม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวชี้แจงการอภิปรายของ นางสาวจิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ว่า นางสาวจิราพร พยายามใช้วาทกรรม ตนเองชื่นชมมาตลอด เวลาพูดความจริงดูน่าเชื่อถือมาก แต่เวลาพูดความเท็จเห็นได้ชัดเจนว่าท่านขาดความมั่นใจ ท่านพยายามทำให้เห็นว่าตนเองกับผู้นำกัมพูชา รู้อะไรกัน ซึ่งตนเองยืนยันว่าไม่รู้จักผู้นำกัมพูชาในนามส่วนตัวเลยสักคนเดียว ตนเองเพิ่งเคยพบกับสมเด็จฮุน เซน ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ตอนที่ติดตามนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เยือนประเทศกัมพูชา เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา และไม่มีความสัมพันธ์ใดที่เป็นส่วนตัว
กรณีที่กล่าวหาว่ามีการตกลงเบื้องหลังก่อนหรือไม่นั้น ขอยืนยันว่าไม่มี เต็มที่มีแค่เพื่อนที่รู้จักกัน และเป็นผู้ที่มีอำนาจในรัฐบาลแห่งนั้น ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล มีแต่เพื่อน และไม่เคยพูดถึงเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงเสนอแนะอะไรที่ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ตนเองยังรู้สึกตกใจด้วยซํ้า ว่าเมื่อกลับมาแล้วจากการติดตามนางสาวแพทองธารไปเยือนกัมพูชา เพื่อนของตนเองที่รู้จักกัน เขาโทรมาบอกว่า รู้ไหมที่เขาไม่ให้คุณเข้าไปในที่ประชุมหลายที่ เขาไปแจ้งผู้นำเขาว่า ไม่ต้องคุยอะไรกับคุณมากหรอก เขาจะปลดคุณออกจาก มท.1 อยู่แล้ว
ตอนนั้นตอนรับทราบก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะข้อมูลที่ตนเองจะเชื่อมากที่สุด ต้องได้รับแจ้งจากนายกฯ ของตนเองในเวลานั้นคือนางสาวแพทองธาร แต่ในที่สุดตนเองก็ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.68 ว่าพรรคเพื่อไทยต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน และขอให้ตนเองไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตนก็กราบเรียนไปว่า ถ้าแบบนี้ก็เปรียบเสมือนข้อเสนอที่ท่านต้องการให้ตนเองปฏิเสธ พูดตรง ๆ เลยว่าให้ตนเองออกจากรัฐบาลดีกว่า ซึ่งนางสางแพทองธาร ก็บอกว่า ไม่ใช่ อยากให้อยู่ แต่ต้องไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตนก็ถามไปว่าทำไม ตนเองทำอะไรผิดหรือ ตนเองคิดว่าเป็นรัฐมนตรีคนเดียวในคณะรัฐบาล ที่ยืนอยู่เคียงข้างนายกฯ ในทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นวันดีหรือวันร้าย ปกป้องให้ข้อเท็จจริงเมื่อนายกฯ ถูกกล่าว หานางสาวแพทองธารก็บอกว่า ใกล้เลือกตั้งแล้ว พรรคไทยต้องได้กระทรวงมหาดไทย ตนเองจึงบอกไปว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้ท่านเชื่อว่า การได้ดูแลกระทรวงมหาดไทยและจะชนะเลือกตั้ง ซึ่งคำตอบที่ได้คือ “ก็จะเอามหาดไทยคืนอะ”
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตนเองเชื่อว่านางสาวแพทองธาร ไม่ได้พูดจากความต้องการในใจของท่านเอง แต่ต้องมีคนบอกให้ท่านพูด เพราะในที่สุด เลขาธิการนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ก็ได้มายืนยันว่า ”ไพ่ใบสุดท้าย คุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข“ ทำให้นางสาวจิราพร ลุกขึ้นประท้วงว่า นายอนุทินกำลังเล่าซีนดราม่าระหว่างตนเองกับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในสภาแห่งนี้ ทำให้นายอนุทิน กล่าวว่า ”ผมอยู่ตรงนั้น เอามายืนยันกันตรงนี้เลยก็ได้ ท่านไม่ได้อยู่ตรงนั้น ท่านจะมาบอกดราม่าได้ยังไง“
นายอนุทิน กล่าวต่อว่าเลขาธิการนายกรัฐมนตรีขณะนั้น มาหาตนเองที่กระทรวงมหาดไทย พร้อมระบุว่าต้องเป็นเช่นนี้ ซึ่งตนเอง ฝากให้ไปกราบเรียนนายกรัฐมนตรีว่า พรรคภูมิใจไทยขอถอนตัว ซึ่งหลังจากนั้นก็บังเอิญมีเรื่องคลิปเสียงออกมาพอดี จึงทำให้การตัดสินใจของพรรคภูมิใจไทยยิ่งเกิดความมั่นใจ ตนเองได้มีการพูดคุยกับพรรคประชาชนเพื่อประสานงานทำงานเป็นฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และมองว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ไหวแล้ว ประชาชนขาดความเชื่อมั่น จึงรอให้มีการยุบสภา แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นนางสาวแพทองธาร ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ จึงไม่มีคนยุบสภา จึงได้พูดคุยกับพรรคประชาชนว่าจะทำอย่างไรดี จึงเป็นที่มาของ MOA พร้อมยืนยันว่าไม่ได้พิสดาร เพราะไม่ได้แอบเซ็นกันในห้องผู้นำฝ่ายค้าน แต่เป็นการทำอย่างทางการ
นายอนุทิน ยืนยันว่า MOA เป็นเรื่องระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน ไม่ได้ผูกพันทั้งรัฐบาล แต่เมื่อพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็จะรักษาสัญญา คือจะมีการยุบสภาไม่เกินวันที่ 31 มกราคม และวันที่ 14-15 ต.ค.นี้ ก็จะมีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมยืนยันว่าไม่มีการดูด ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย มีแต่พรรคภูมิใจไทยถูกดูดจากพรรคเพื่อไทย แต่โชคดีที่เขากลับตัวทัน ส่วน ส.ส.ที่เพิ่มมา ก็มาจากการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.ศรีสะเกษ MOA นี้จะมาบังคับรัฐบาลในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ แต่ MOA นี้จะกำหนดให้รัฐบาลดำเนินการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญและยุบสภา
เรื่องนี้ไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือความพิสดารใด ๆ รัฐบาลนี้ถูกจัดตั้งขึ้นมาตามระบอบประชาธิปไตย เพราะตนเองได้รับการสนับสนุนจาก สส. 313 เสียง ดังนั้นไม่มีสิ่งใดที่แปลกหรือไม่เคยทำมาก่อน ส่วนกรณีที่ขอให้ตนเองสัญญาว่าจะไม่ใช้อำนาจหน้าที่ ไปกดดันสั่งการ หรือชี้แนะข้าราชการ ให้เปลี่ยนแนวทางเรื่องคดีเขากระโดง และคดีฮั้ว สว.นั้น เรื่องนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ดำเนินการ มีแต่รัฐบาลท่านนั่นแหละที่สั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ดำเนินการ แล้วก็ไปติดข้อกฎหมาย ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามข้อกฎหมาย รวมถึงคดีเขากระโดงด้วย
”วันนั้นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยของท่านใจร้อนเอง เข้าไปวันแรก บอกวันที่ 2 สิงหาคมจะยึดที่ดิน ทำงานแบบท่านจิราพร อ่านอะไรไม่ได้ศัพท์ อ่านเร็วๆ นึกว่าตัวเองเก๋า เลยไปสรุปทุกเรื่องหมด“ นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า หนังสือราชการต้องอ่านทุกถ้อยคำและตีความ ซึ่งสุดท้ายอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งพรรคเพื่อไทยเป็นคนตั้งเอง รวมถึงคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมา ก็แถลงว่ารัฐมนตรีทั้ง 2 คน พูดไม่ตรงกับมติของคณะกรรมการ และจะมาโทษอะไรตนเอง ทั้งนี้ นายอนุทิน ยืนยันทิ้งท้ายว่า ขอให้มั่นใจว่าตนจะไม่เข้าไปดำเนินการในเรื่องนี้เด็ดขาด
จึงขอให้นางสาวจิราพร ถอนคำพูด ว่า “นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ต้องหาของ DSI” เพราะตนเองไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ยังไม่ได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย ชอบใช้วาทกรรมพูดให้ประชาชนเข้าใจผิด เรียก พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดํา อธิบดี DSI มาตรงนี้แล้วถามเลยว่าตนเองเป็นผู้ต้องหาหรือไม่ ยํ้าว่าตนเองเป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ตนก็ให้ความร่วมมือตามกฎหมายทุกอย่าง ส่งจดหมายชี้แจง ตั้งทนายความขึ้นมาศึกษาข้อกล่าวหา ส่วนคดีจะออกมาเป็นอย่างไร ก็มีกระบวนการอยู่แล้ว ดังนั้น การพูดว่าตนเองและ สว.เป็นผู้ต้องหานั้น เป็นคำพูดที่ผิด
ตนเองไม่รู้ว่านางสาวจิราพร วางยาหรือไม่ เพราะให้ไปบอก สว.ว่าต้องรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหมือนกำลังชี้ทางไปนรกให้ ตนเองจะไปพูดได้อย่างไร เพราะเขาห้ามชี้นำโน้มน้าวสมาชิกรัฐสภา ถือว่าผิดรัฐธรรมนูญ ยํ้าว่าตนเองทำไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องประชาธิปไตย ใครอยากจะแก้ก็แก้ ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องแก้ พร้อมยืนยันว่า ยุบสภาช้าสุด 31 ม.ค.แน่นอน อาจจะเร็วกว่าด้วยซ้ำถ้ามีความจำเป็น
จากนั้นนางสาวแนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย ขอให้ประธานวินิจฉัยว่า เมื่อสักครู่นายกฯ ได้เรียนต่อท่านประธานแล้วว่าเป็นการใส่ร้ายกัน ซึ่งนายกฯ ขอให้ผู้อภิปรายเมื่อสักครู่ ได้ถอนคำพูดนี้ ถ้าท่านไม่มั่นใจท่านสามารถเทปย้อนหลังได้ว่ามีคำพูดนี้จริง นายมงคล จึงวินิจฉัยขอให้นางสาวจิราพร ถอนคำพูด เพราะตนเองในนามวุฒิสภาก็เช่นเดียวกัน ยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา
ท้ายที่สุดนางสาวจิราพร ยอมถอนคำพูดว่าผู้ต้องหา แต่เปลี่ยนเป็น “ผู้ที่พัวพันในคดีและส่อที่จะเข้ามายุบคดีหรือไม่”












