‘จุรินทร์’ จวก ‘อนุทิน’ หนูตกถังข้าวสาร มีเก้าอี้ ครม.เหลือแจก
‘จุรินทร์’ จวก ‘อนุทิน’ หนูตกถังข้าวสาร มีเก้าอี้ ครม.เหลือแจก-ตั้งรัฐมนตรีกระดำกระด่าง ถามนโยบายแก้ รธน.พร้อมหนุนแก้ปมจริยธรรมหรือไม่ แนะวางไทม์ไลน์ให้ชัดทำประชามติยกเลิก MOU 2543-2544
วันนี้ (29 ก.ย. 68) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระเรื่องด่วน 1 คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในการประชุม
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่าหลังจากนี้ตนเองและพรรคประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พวกตนเองจะไม่ค้านทุกเรื่อง ไม่มีอคติ บุญคุณ หรือความแค้นใด ๆ และจะทำงานกับฝ่ายค้านทุกพรรคเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ หากดูนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ก็จะพบว่าในภาพรวมมีทั้งที่เขียนไว้กว้างเป็นมหาสมุทร แทนที่จะเฉพาะเจาะจง เพราะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ แต่ตนเองสะดุดเป็นพิเศษในเรื่องนโยบายหาเสียงก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพราะล่องหนหายตัว ไม่ปรากฏอยู่ในนโยบายหลายเรื่อง
คำตัดพ้อของรัฐบาลที่ปรากฏในคำแถลงนโยบาย ที่มีข้อจำกัด 3 ข้อ คือ 1.เวลาจำกัด 2.ไม่ได้ทำงบประมาณด้วยตนเอง 3.เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งประชาชนทราบดีว่าเกิดจากการเมืองภาคพิสดาร ซึ่งรัฐบาลคงจะไปโทษใครไม่ได้ เพราะเลือกทางเดินด้วยความเต็มใจ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คงบวกลบคูณหารแล้วคิดว่าคุ้ม เพราะแลกกับการได้เป็นนายกฯ และเป็นรัฐบาลต่างตอบแทนกับฝ่ายที่ต้องการยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งก็อาจจะใช่ แต่เอาเข้าจริงรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้อยู่ 4 เดือน แต่อาจจะต้องอยู่ 8-9 เดือน เพราะต้องรอช่วงเวลาการเลือกตั้ง และรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เข้าเฝ้าถวายสัตย์
รัฐบาลชุดนี้มีแต้มต่อมากกว่าข้อจำกัด ซึ่งมีทั้งหมด 4 ข้อ ได้แก่ 1.การที่มีผู้ลงคะแนนเลือกให้เป็นนายกฯ โดยไม่ขอรับตำแหน่งรัฐมนตรี ทำให้นายกฯ เป็นหนูตกถังข้าวสาร เพราะมีเก้าอี้รัฐมนตรีให้มาแบ่งปันกันเหลือเฟือที่สุดในประวัติศาสตร์ของระบบรัฐสภา
2.เมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหาร ก็มีเงินมากองไว้ทันที ไม่ต้องออกแรง เพราะงบเหลือจ่าย ของปี 68 รออยู่แล้ว 6 หมื่นล้านบาท ส่วนงบประมาณปี 69 ก็รอใช้วันที่ 1 ต.ค.นี้
3.มีนโยบายสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้แล้ว โดยผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ หรือ MOA ที่คิดไว้ให้เสร็จสรรพว่าต้องทำอะไรบ้าง
4.เหลือให้คิดเองแค่ 3 เรื่อง คือนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา การจัด ครม. และการทำนโยบายให้สำเร็จ
ส่วนการจัด ครม.ตนเองขอชมว่าหลายตำแหน่งจัดได้ดี ถูกฝาถูกตัว แต่น่าเสียดายที่มีบางตำแหน่งกลายเป็นชักใบให้เรือเสีย ทำให้ ครม.ชุดนี้กระดำกระด่างไป ซึ่งเชื่อว่านายกฯ ก็คงรู้อยู่แก่ใจ เรื่องโควตาพรรคการเมือง ตนเองเข้าใจเพราะเคยเป็นฝ่ายรัฐบาล แต่ขอชมนายกฯ ว่านายแน่มาก กล้าตั้งรัฐมนตรีที่รัฐบาลชุดที่แล้วยังไม่กล้าตั้ง เพราะไม่อยากเสี่ยงตามรอยนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อนายอนุทินตั้งแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบ
ส่วนคำแถลงนโยบาย เรื่องการตั้งโจทย์ของประเทศ รัฐบาลระบุว่าภาวะนี้มีทั้งหมด 4 ภัย คือเศรษฐกิจ ความมั่นคง ด้านสังคม และภัยพิบัติธรรมชาติ ตนมองว่ายังตั้งโจทย์ไม่ครบ เพราะนายกฯ อาจคิดว่าไม่สำคัญ ภัยที่ว่าคือการทุจริตคอรัปชัน ที่เป็นต้นตอของทุกปัญหา ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติ ตนเองเชื่อว่าหลายคนบ่นว่านโยบายนี้ มาผิดที่ผิดเวลา ประชาชนวิจารณ์ว่าอยากเห็นการแก้ปากท้องมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะบทเฉพาะกาลที่เป็นปัญหาใหญ่ของรัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านไปแล้ว ซึ่งปัญหาที่เหลือสามารถแก้รายมาตราได้ แต่เมื่อรัฐบาลแลกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกฯ ก็ต้องรับผิดชอบ โดยตนขอตั้งคำถาม 2 ข้อ ดังนี้
1.การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องไม่แตะหมวดหนึ่งหมวดสอง แต่หากมีร่างฉบับใดเสนอเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา และไม่กำหนดเงื่อนไขดังกล่าว รัฐบาลชุดนี้จะยกมือให้หรือไม่
2.หากการแก้รัฐธรรมนูญ ไปแก้มาตรา 160 (4) (5) เรื่องคุณสมบัติของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ศาล และองค์กรอิสระ ที่ระบุว่าต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และต้องไม่มีพฤติกรรม ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง นายกฯ จะสนับสนุนให้มีการแก้ต่อไปหรือไม่
ขณะที่การแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ตนเองมีคำถามว่า ที่คำแถลงนโยบายของรัฐบาลเขียนไว้ว่า พื้นที่ของเราตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากลที่ถูกครอบครอง จะยึดคืนมาให้หมดด้วยใช่หรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่รักษาไว้ แต่อะไรที่สูญเสียไป รัฐบาลมีนโยบายจะเอาคืนกลับคืนมาด้วยใช่หรือไม่ ส่วนเรื่องบ่อนของกัมพูชาที่สร้างล้ำเขตแดนไทยเข้ามา จะจัดการอย่างไร
ส่วนที่รัฐบาลแถลงนโยบายว่าจะทำประชามติ ยกเลิก MOU ที่ไม่ได้ระบุว่าเป็น MOU 2543-2544 ตนเองขอถามว่า หากรัฐบาลเห็นว่าควรยกเลิก ทำไมไม่ตัดสินใจเอง เพราะสามารถดำเนินการได้ทันที และหากจะทำประชามติ จะทำเมื่อไร กี่โมง จะทำพร้อมการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้โครงการคนละครึ่ง ตนเองไม่มีอะไรท้วงติง และขอสนับสนุน เพราะทำเรื่องนี้กันมาสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี มาถึงตอนนี้ก็ดีใจที่รัฐบาลนำมาใช้ สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่คนไทยขาดกำลังซื้อ พ่อค้าแม่ขายกำลังร่อแร่












