ประมงพื้นบ้าน ร้องฝ่ายค้าน เรียกร้อง สส.หยุดอวนตาถี่จับปลากลางคืน
ประมงพื้นบ้าน ร้องฝ่ายค้าน เรียกร้อง สส.หยุดมาตรา 69 หยุดอวนตาถี่จับปลากลางคืน
วันนี้ (12 มี.ค. 68) นายปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ยื่นหนังสือถึง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ขอให้พิจารณาเห็นชอบมาตรา 69 ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 โดยมี นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาชน เป็นตัวแทนรับหนังสือ
โดยเนื้อหาในหนังสือ ระบุตามที่สภาผู้แทนราษฎรผ่าน มาตรา 69 ในการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.ประมง ซึ่งเป็นการให้อำนาจฝ่ายบริหารสามารถอนุญาตให้ใช้ “ชวนล้อมจับตาถี่แทบเท่ามุ้ง” เป็นอุตสาหกรรมการประมงทะเลในเวลากลางคืนได้ จะมีความเสียงต่อการล่มสลายของทรัพยากรสาธารณะมูลค่านับแสนล้านบาทต่อปี โดยในช่วงสองเดือนเศษที่ผ่านมา ประชาชนหลายภาคส่วน ทั้งชาวประมง นักดำน้ำ นักตกปลา นักท่องเที่ยว นักวิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ได้รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ และการประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับผลกระทบ ทำให้เห็นว่า หากมีการให้ใช้อวนที่มีช่องตาเล็กกว่าสองจุดห้าเซนติเมตร (ขนาดให้ใช้จริง คือ 6 มิลลิเมตร) “ล้อมจับ” สัตว์น้ำขนาดเล็กและสัตว์น้ำเศรษรษฐกิจวัยอ่อนได้ ตั้งแต่ระยะ 12 ไมล์ จากแนวทะเลชายฝั่ง จะกระทบต่อสัตว์น้ำวัยอ่อนในห่วงโซ่ระบบนิเวศในธรรมชาติอย่างยิ่ง
ปัจจุบันอุตสาหกรรมประมงมีผลผลิตสัตว์น้ำพลอยจับมูลค่าต่ำ ทำให้เสียมูลค่าในอัตราสูงเกินสมควรอยู่แล้วเป็นปัญหาาหลักเดิมอยู่แล้ว การเพิ่มเทคโนโลยีอวนล้อมจับตาถี่ในเวลากลางคืนจะส่งผลกระทบมากขึ้นไปอีก ผลประโยชน์ที่ได้จากการอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีอวนล้อมจับตาถี่ในเวลากลางคืน จะถูกมอบให้กับคณะบุคคลจำนวนหนึ่งเท่านั้น อาจเป็นการตรากฎหมายที่มีลักษณะจำกัดสิทธิการเข้าถึงทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรม
จากข้อมูลข้อเท็จจริงการประชุมวิชาการและการวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมอย่างกว้างขวาง ข้อมูลต่าง ๆ ถูกนำไปใช้ในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมายของวุฒิสภา จนวุฒิสภาได้มีมติแก้ไข มาตรา 69 อีกครั้ง เป็น “ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับทุกประเภทที่มีช่องตาอวนเล็กกว่าสองจุดห้าเซนติเมตรทำการประมงในเวลาดลางคืน“
เรายึดมั่นและเห็นพ้องเสมอมาว่า สภาผู้แทนราษฎร เป็นสถาบันหลักในการตรากฎหมายของประเทศ ในวาระที่มาตรา 69 ของร่างกฎหมายดังกล่าวกลับสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง นับเป็นโอกาสดีที่ผู้แทนราษฎรจะได้รับฟังข้อมูลและพิจารณาใหม่ หาก สส.แสดงจุดยืนบนฐานผลประโยชน์ส่วนรวม และเลือกโหวตสนับสนุนความเห็นจากการกลั่นกรองของวุฒิสภา นับเป็นย่างก้าวทางการเมืองที่สง่างาม และจะสร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการตรากฎหมายประมงใหม่ของประเทศไทย












