‘ก้าวไกล’ ซักฟอกงบ ก.พลังงาน ‘เบญจา’ ทวงสัญญาเพื่อไทย เล่นงานพลเอกประยุทธ์
วันนี้ (21 มี.ค.67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วาระ 2-3 ในมาตรา 18 กระทรวงพลังงาน นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะคณะกรรมาธิการ ขอสงวนความเห็นอภิปรายว่าโครงการจัดทำระบบติดตามและประเมินผลงานดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการด้านพลังงาน พ.ศ.2566-2580 (แผนพลังงานชาติ) จัดขึ้นโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ซึ่งเป็นการจ้างที่ปรึกษาจัดทำซอฟต์แวร์ Automated-MRV เพื่อประเมินและติดตามผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพลังงานชาติ (NEP) โดยแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) เป็นแผนย่อยของแผนพลังงานชาติในปี 2565 ปัญหาอยู่ที่แผนพลังงานชาติที่ควรจะออกมาตั้งแต่ปี 2565 แต่ 2 ปีที่ผ่านมาเราอยู่โดยไม่มีแผนพลังงานชาติ กลายเป็นว่าโครงการนี้กำลังจะจัดจ้างที่ปรึกษา แต่วันนี้ยังไม่มีการจัดเปิดรับฟังความคิดเห็นแผนพลังงานชาติของปี 2565 หลังมีกำหนดการรับฟังตั้งแต่เดือนมกราคม และถูกเลื่อนมาให้จัดในช่วงเดือนเมษายน หากรับฟังเสร็จในเดือนเมษายน จะสามารถประกาศใช้อีกทีเดือนกันยายน เท่ากับสิ้นปีงบประมาณปี 2567 พอดี
ระหว่างนี้ที่เราไม่มีแผนพลังงานชาติก็มีการอนุมัติแผนรับซื้อพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ในที่ประชุมสภาฯ สมัยที่แล้ว ตนเองได้ตั้งคำถามต่อการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนในประเทศลาวว่าเป็นไปตามแผนพลังงานชาติหรือไม่ แม้ยังไม่มีแผนพลังงาน แต่กลับมีการอนุมัติทำสัมปทานซื้อพลังงานจากเขื่อนในลาวแล้ว นอกจากนี้ยังมีการรับซื้อพลังงานทดแทน 5 พันเมกกะวัตต์ และจ่ออนุมัติซื้อพลังงานทดแทนอีก 3,600 เมกกะวัตต์ ไม่รู้ว่าสอดคล้องกับแผนพลังงานใหม่หรือไม่ ต้องสอบถามไปยังคณะกรรมาธิการว่ามีการพูดคุยเรื่องนี้กับ สนพ.อย่างไร ถ้าเราไม่จำเป็นต้องมี PDP เราก็อนุมัติซื้อไฟฟ้าได้ ไม่ต้องมีแผนพลังงานชาติ เราก็รับซื้อไฟฟ้า ให้อำนาจอยู่ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้หรือไม่ ไม่ต้องทำแล้วแผนพลังงานชาติ รวมทั้งงบประมาณต่าง ๆ ที่จะต้องเตรียมระบบข้อมูลให้สอดคล้องแผนพลังงานชาติ
นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่าแม้กระทรวงพลังงานจะได้รับงบประมาณน้อยที่สุด 1,856 ล้านบาท แต่การได้รับงบประมาณน้อยไม่ได้หมายความว่ากระทรวงนั้นจะไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น อาจจะเป็นที่ที่คนปล่อยปละละเลยจนมีการทุจริตมากที่สุด แต่ 1,172 ล้านบาท ถูกจัดสรรไปให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หากเราไปดูเนื้อในจะพบว่ามีโครงการหนึ่งที่ชื่อว่าโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานด้านพลังงานทดแทน ที่ได้เงินไปกว่า 800 ล้านบาท และนำไปชดเลยปาล์มน้ำมัน 300 ล้านบาท แต่เข้าใจได้เพราะเงินถูกส่งถึงมือชาวสวนปาล์ม ส่วนที่เหลือ 441 ล้านบาท ถูกนำไปใช้สร้างโรงไฟฟ้าทั้งเขื่อนขนาดเล็กและโซลาร์แบบลอยน้ำ ซึ่งเป็นส่วนที่มีปัญหา
หากท่านบอกว่าทำเพื่อประชาชนที่เข้าไม่ถึงไฟฟ้าหรือลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ตนเองจึงขอสรุปปัญหา 3 ข้อของโครงการนั้น คือ 1.ประชาชนต้องจ่ายเงินซ้ำซากให้กับเขื่อนขนาดเล็ก โรงไฟฟ้าเหล่านี้ คือเขื่อนเหล่านี้ใช้งบประมาณแผ่นดินที่มาจากเงินภาษีของประชาชน นอกจากจะจ่ายเงินค่าสร้างอย่างเดียวไม่พอแล้ว ยังต้องจ่ายที่โรงไฟฟ้าเหล่านี้ผลิตไฟฟ้าไปยังบ้านพี่น้องประชาชนอีก แต่คำถามสำคัญคือเงินที่ได้จากการขายไฟจากโรงไฟฟ้าเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน 2.ค่าก่อสร้างที่แพงแล้ว แพงอีก ทั้งของเขื่อนขนาดเล็กและโซลาร์แบบลอยน้ำ ซึ่งมีมูลค่าการก่อสร้างสูงกว่าสหภาพยุโรป 4 เท่าตัว จึงฝากคำถามกลับไปยังกรม พพ.ว่าที่ผ่านมามีการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใสและเป็นธรรมหรือไม่ 3.ปัญหางบประมาณ เหตุใดกระทรวงพลังงงานต้องของบประมาณที่เป็นภาษีของพี่น้องประชาชนไปก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก เพราะมีกลไกอื่นคือ กองทุนด้านพลังงานที่ยังรอการนำงบประมาณไปใช้ให้เกิดประโยชน์และถูกวัตถุประสงค์อีกหลายกองทุน เช่น กองทุนพัฒนาไฟฟ้า เหลืองบประมาณที่เป็นเงินสด 5,016 ล้านบาท แต่เป็นตัวเลขที่เปิดเผยในปี 2565 และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่เหลือเงินสด 12,005 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองกองทุนนี้ในร่าง พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เขียนไว้ชัดเจนว่าอนุญาตให้นำเงินไปใช้ได้ในโครงการอนุรักษ์พลังงานและแก้ไขสิ่งแวดล้อมได้ หากนำเงินจากทั้ง 2 กองทุนมารวมกันจะสามารถสร้างโรงงานไฟฟ้าสะอาดในพื้นที่ที่ห่างไกล โดยไม่ต้องของบประมาณแผ่นดินเลยแม้แต่บาทเดียว
นายศุภโชติมีข้อเสนอ 3 ข้อได้แก่ 1.ใช้เงินจากกลไกกองทุนในการสร้างเขื่อนแทนงบประมาณ 2.โอนโรงงานไฟฟ้าขนาดเล็กทั้งหมดไปอยู่ในการดูแลของ กฟภ. เพื่อนำให้กระบวนการคัดเลือก การประมูลค่าไฟฟ้ามีความโปร่งใสมากขึ้น 3.ยกเลิกการนำต้นทุนที่ใช้ในการสร้างเขื่อนขนาดเล็กมาคิดรวมในค่า Ft จึงขอปรับลดงบประมาณในมาตรานี้ลด 5%
นางสาวเบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่าตนเองขอปรับลดงบประมาณกระทรวงพลังงาน 5% เพราะกระทรวงพลังงานแม้จะเป็นกระทรวงที่งบประมาณน้อย แต่มีขุมทรัพย์มหาศาลซ่อนอยู่ เมื่อปี 2561 หลังจากที่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้สิทธิในการประมูลและสำรวจปิโตรเลียมในทะเลอ่าวไทย แหล่งเอราวัณ และบงกชไปถือครอง ทำให้เชฟรอนบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของสหรัฐอเมริกา ที่เคยเป็นผู้ถือครองสัมปทานในแหล่งเอราวัณมาอย่างยาวนาน ได้พ่ายแพ้การประมูลและต้องทำแผนรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียม และส่งมอบทรัพย์สินทั้งหมดคืนให้กับรัฐ โดยปัญหาของข้อพิพาทที่ทำให้เชฟรอนยื่นฟ้องต่ออนุญาโตตุลาการรัฐบาลไทยในประเด็นที่เกี่ยวกับกรณีข้อพิพาทค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนแท่นที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติให้ทางเชฟรอนเป็นผู้รับผิดชอบในการรื้อถอนและค่าใช้จ่ายเมื่อสิ้นสุดสัญญาสัมปทานลง ซึ่งเชฟรอนได้ส่งหนังสือยืนยันและพูดถึงการรื้อถอนแท่นที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมว่าตนเองมีหน้ารับผิดชอบการรื้อถอนแท่นแค่ 49 แท่น ที่ไม่ได้ส่งมอบให้แก่รัฐบาลตามสัญญาตามสัมปทานเพียงเท่านั้น
ส่วน 142 แท่นที่ส่งมอบให้รัฐไปเป็นหน้าที่ของรัฐ เพื่อเป็นไปตามสัญญาสัมปทานเดิมที่เคยทำกันไว้ตั้งแต่ปี 2515 แต่หลังรัฐประหารปี 2559 รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แก้กฎกระทรวงย้อนหลัง ทำให้ผู้รับสัมปทานคือเชฟรอน ต้องไปชี้แจงว่าประเด็นนี้ไปสู้กันในอนุญาโตตุลาการประเด็นกฎหมายที่ออกมาใหม่ เป็นการออกมาภายหลังแล้วจะมีผลบังคับใช้ย้อนหลังกลับไปได้หรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในวันนี้ และพลเอกประยุทธ์ ในวันนั้น ไม่ดำเนินการตามนโยบายพลังงาน และเป็นการดำเนินการตามนโยบายที่ผิดพลาด บกพร่อง ปล่อยปละละเลย ไม่รอบคอบไม่รัดกุมเช่นนี้ จะเอาผิดอย่างไรกับรัฐบาล พลเอกประยุทธ์หรือไม่
พร้อมตั้งคำถามไปยังรัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทย ที่สู้รบกับรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์มา 10 ปี ในวันที่ท่านเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่าวันใดที่พลเอกประยุทธ์หมดอำนาจ พรรคเพื่อไทยจะเล่นงานพลเอกประยุทธ์ ไม่ใช่แค่เอาผิดต่อความเสียหายที่พลเอกประยุทธ์ ก่อไว้กับประเทศชาตินี้ แต่ต้องทำให้พลเอกประยุทธ์ในวันที่ลงจากอำนาจต้องย้ายไปอยู่บ้านหลวงหลังใหม่ที่เรียกว่าเรือนจำ แต่วันนี้นอกจากรัฐบาลจะไม่เอาผิดแล้ว พลเอกประยุทธ์ ยังอยู่สบายแถมรัฐบาลเพื่อไทยต้องมาตามชดใช้ความเสียหายให้กับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อีกด้วย












