‘ไชยชนก’ นำถกเข้ม มาตรการควบคุมการนำเข้า Sim Box – แนวทางป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์
เตรียมออกประกาศกระทรวง ห้ามนำเข้า – จำหน่าย Sim Box โดยไม่ได้รับอนุญาตพร้อมระงับการลงทะเบียนหน้าตู้ ให้นำซิมไปลงทะเบียนศูนย์บริการ
วันนี้ (31 ต.ค. 68) ที่อาคารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (แห่งใหม่) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ มีการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 7/2568 โดยมี นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท. สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.), ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), กรมศุลกากร และยังมีภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน และโทรคมนาคมทั้งหมด
สำหรับการประชุมวันนี้ มีการหารือกันตั้งแต่ช่วง 09.00 น. เพื่อหารือถึงมาตรการการควบคุมการนำเข้า Sim Box และอุปกรณ์เกี่ยวข้องของกรมศุลกากร และแนวทางการดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของผู้ให้บริการทุกแพลตฟอร์ม พร้อมระงับการลงทะเบียนหน้าตู้ ไปลงทะเบียนที่
ภายหลังการประชุมกว่า 3 ชั่วโมง นายไชยชนก พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงผลการประชุมว่า ประเด็นวันนี้คือเรื่อง Sim Box ซึ่งได้มีการประสานข้อมูลจากทางกรมศุลกากร เพื่อให้นำข้อมูลการนำเข้าเครื่อง Sim Box ทั้งแบบเครื่องสมบูรณ์ และเครื่องแยกส่วนประกอบ โดยที่ไม่มีการลงทะเบียน ส่งมาให้คณะกรรมการฯ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าว ไปให้ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามการใช้งานอุปกรณ์ Sim Box เหล่านี้ว่านำไปใช้ผิดกฎหมายหรือไม่ และหาต้นตอของแหล่ง Sim Box ดังกล่าว
อีกทั้ง ได้เตรียมที่จะออกประกาศกฎกระทรวงในเรื่องการนำเข้า และจำหน่ายอุปกรณ์ Sim Box ทั้งแบบสมบูรณ์ และแยกชิ้นส่วน โดยการนำเข้าหรือจัดจำหน่ายต้องขออนุญาตจากหน่วยงานราชการเท่านั้น ห้ามจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด
นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยหารือกับบรรดาค่ายโทรศัพท์มือถือ และสถาบันการเงิน ร่วมกับ กสทช. เพื่อทบทวนมาตรการยืนยันตัวตนลงทะเบียนซิมโทรศัพท์มือถือ ผ่านระบบ Liveness Detection ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีสำหรับการยืนยันตัวตน ในการลงทะเบียนซิมผ่านการสแกนม่านตา ซึ่งจะสามารถป้องกันการสวมรอยซิมได้ และมาตรการดังกล่าวเป็นการอุดรอยรั่วของระบบลงทะเบียนซิมแบบเดิม ที่ทำให้บุคคลมีปริมาณซิมจำนวนมาก อีกทั้งยังสกัดการจ่ายสัญญาณไปยัง Sim Box ด้วย
รวมทั้ง ยังได้ประสานงานกับตู้ขายโทรศัพท์มือถือตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 60,000 แห่ง ว่าให้ระงับการลงทะเบียนหน้าตู้ และให้ลูกค้านำซิมไปลงทะเบียนกับศูนย์บริการของแต่ละค่าย โดยตู้ขายโทรศัพท์มือถือยังสามารถขายซิมได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องนำข้อมูลไปแจ้งทางตำรวจว่าได้ขายซิมให้ใครบ้าง และขายในพื้นที่ใด เพื่อสะดวกต่อการติดตาม
อย่างไรก็ตาม การประชุมในวันนี้ แม้จะใช้ระยะเวลาการประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง แต่ยังมีปัญหาจำนวนมากที่ยังไม่ได้นำมาพูดคุยในหลายประเด็น เช่น เรื่องแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ถูกใช้ในกระบวนการสแกมเมอร์ และเรื่องการลงทะเบียนซิมแบบนิติบุคคล ที่เบื้องต้นได้มอบหมายให้ กสทช. และค่ายมือถือไปหาวิธีการแก้ไขปัญหานำมาเสนอในสัปดาห์หน้า
สำหรับบรรยากาศการประชุมนั้น นายไชยชนก กล่าวว่า เป็นไปอย่างดุเดือด และไม่ได้มีรอยยิ้มให้กัน ทุกฝ่ายต่างแสดงความคิดเห็นอย่างหนักแน่น และกล่าวถึงปัญหาการทำงานของแต่ละหน่วยงานที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน แต่ท้ายที่สุด ทุกฝ่ายก็สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ เพราะมีเจตนาที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยคิดว่าภายใน 1 สัปดาห์จะประชุมครั้งเดียวคงไม่เพียงพอ และคงต้องเพิ่มจำนวนการประชุมแต่ละสัปดาห์ให้มากขึ้น เพื่อติดตามการทำงาน และหาวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ด้าน พล.ต.ท. จิรภพ ระบุว่า แม้ว่าตอนนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีมาตรการเชิงรุกที่สามารถจับกุมและระดมกวาดล้างคดีการสแกมเมอร์ได้หลายราย โดยที่ผ่านมาเคยรับปากว่า จะลดตัวเลขการแจ้งความออนไลน์ จากวันละ 1,000 เคสต่อวัน ให้ลดลงภายใน 6 เดือนนั้น ล่าสุดจากการสังเกตตัวเลขในรอบหลายวันที่ผ่านมา พบว่า ตัวเลขลดลงเป็นบางวัน แต่ยังไม่สม่ำเสมอ จึงเตรียมที่จะเร่งเครื่องการปราบปรามให้มากขึ้น
ทั้งนี้ จากตัวเลขการแจ้งความ พบว่าเป็นการหลอกลวง ผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ประมาณ 600 เคส ต่อวัน หรือประมาณ 50% ของการแจ้งความทั้งหมด นอกนั้นมีการหลอกลวงผ่าน SMS และโทรศัพท์มือถือ อีก 100 กว่าเคส
เมื่อผู้สื่อข่าวถามกรณีที่เมื่อวานนี้ พล.ต.อ. กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พูดในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ว่า ที่ผ่านมาตำรวจไม่ได้รับความร่วมมือจากธนาคาร และ กสทช. ในการปราบสแกมเมอร์ เหมือนเป็นการผลักภาระให้ตำรวจหน่วยงานเดียว นายไชยชนก กล่าวว่า ตนไม่มองในเรื่องอดีต ตนมองในเรื่องของปัจจุบันเป็นหลัก ที่ผ่านมาในอดีตเป็นอย่างไรตนไม่ทราบ แต่ในวันนี้ ทุกหน่วยงานได้พูดคุย และมีเจตนาร่วมกันที่จะหาทางออก รวมทั้งต่างเสนอแนวทางที่น่าสนใจเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาและนำข้อมูลมาบูรณาการทำงานเชิงรุกร่วมกัน ทุกภาคส่วนต้องช่วยเหลือกันไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน ยอมรับว่าแม้แต่การประชุมในวันนี้ ก็มีบางช่วงที่ไม่ได้มีรอยยิ้มให้กัน แต่สุดท้ายก็หาข้อสรุปร่วมกันได้ ส่วนที่บอกว่าหน่วยงานไหนให้ความร่วมมือหรือไม่ให้ความร่วมมือนั้น ขอให้ดูที่ผลงานเป็นหลัก
ส่วนการแสดงความคิดเห็นของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น พล.ต.ท. จิรภพ มองว่า เป็นปกติที่ทุกคนย่อมมีความเห็นที่ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนก็มองเห็นปัญหาและอยากจะให้ทุกหน่วยงานต่างร่วมมือร่วมใจกันที่จะแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ให้หมดไป












