อัยการสั่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหาคดีขวางขบวนเสด็จฯ ม.110 คัดค้านประกัน เตรียมส่งตัวไปศาลอาญา ผู้ต้องหายันไม่มีพฤติการณ์ ไม่คิดหลบหนี หวังได้รับการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดี
วันนี้ (31 มี.ค. 64) น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาคดี ‘ประทุษร้ายเสรีภาพพระราชินี’ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 รวม 5 ราย ได้แก่ เอกชัย หงส์กังวาน, บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, สุรนาถ แป้นประเสริฐ และผู้ต้องหาอีกสองราย โดยอัยการมีการคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง 16-20 ปี โดยอัยการจะนำตัวไปส่งฟ้องที่ศาล และจำเลยทั้งหมดจะต้องดำเนินการขอยื่นประกันตัว
ทนายความเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ในชั้นสอบสวน บุญเกื้อหนุนได้รับการประกันในชั้นสอบสวน ส่วนเอกชัยและสุรนาถ ชั้นสอบสวนถูกฝากขัง แต่ในชั้นศาล ศาลได้ยกคำร้องฝากขังให้ปล่อยตัว
“ทั้งหมดให้ความร่วมมือพนักงานสอบสวน อัยการ เราหวังว่าศาลจะเห็นถึงข้อเท็จจริงว่าทั้งหมดไม่มีพฤติการณ์หลบหนี จะได้รับความเป็นธรรม ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แกนนำ ไม่มีโอกาสที่จะไปกระทำความผิดซ้ำหรือปราศรัย หวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมในการประกันตัว” ทนายความกล่าว
นายเอกชัย หงส์กังวาน หนึ่งในผู้ถูกสั่งฟ้อง เปิดเผยว่า วันนี้ได้เตรียมหลักทรัพย์มายื่นประกันตัว ส่วนจำนวนเท่าใดไม่ขอเปิดเผย คดีนี้ก่อนหน้านี้ในชั้นฝากขัง ศาลเคยไม่ให้ประกันตัวเพราะโทษสูงกลัวหลบหนี และอยู่ระหว่างการสอบสวน ต่อมาศาลปล่อยตัว วันนี้อัยการส่งฟ้อง การสอบสวนสิ้นสุดแล้ว ซึ่งเวลาผ่านมาเกือบ 5 เดือน หากตนหลบหนีก็ทำได้ง่าย แต่ตนไม่เคยคิดที่จะหนี ส่วนประเด็นที่เคยร้องขอให้อัยการสอบพยานเพิ่มนั้น เท่าที่คุยกับทนายความระบุอัยการรับ แต่ยังไม่จำเป็นต้องพิจารณาตอนนี้ เข้าใจว่าวันนี้ส่งฟ้องไปก่อน ทั้งนี้ ตนไม่ได้มาขอความเมตตาจากศาล แต่ต้องการความเป็นธรรม
ขณะที่ นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง ได้อ่านคำแถลงอันมีสาระสำคัญสรุปได้ว่า เราไม่มีความประสงค์ หรือความพยายามที่จะกระทำตามข้อกล่าวหา และเรายืนยันในความบริสุทธิ์ของพวกเรามาตลอด แต่หลังจาก 5 เดือนผ่านไป พร้อมกับความอัปยศและความยากลำบาก พวกเราได้รับทราบถึงข้อสรุปจากอัยการได้ตัดสินใจเตรียมการส่งคดีฟ้องต่อศาลอาญา และจะเป็นช่วงการดำเนินการยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อไป ถ้าหากไม่สำเร็จ พวกเราทั้ง 5 คนจะต้องถูกขัง และถูกริดรอนเสรีภาพของพวกเราโดยทันที
“พวกเราได้มีโอกาสต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เพื่อความยุติธรรม กับเพื่อนของผมอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ และถึงขนาดนั้นเอง ผมเชื่อว่าเรายังมีอะไรอีกมากที่ยังต้องช่วยเหลือ เกื้อกูลและทำต่อ ถึงจุดนี้ ผมคงเพียงพูดแค่ว่า มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุดที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนี้ ถ้าหากความเป็นอยู่ของผมต้องจบลงในขณะที่ถูกจองจำ ผมจะเผชิญหน้าต่อไปโดยปราศจากความเสียใจทั้งสิ้น ต่อกรกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มและความพึงพอใจ ที่ได้รู้ว่าสิ่งที่เราได้สละชีพให้จะมีความหมาย และชื่อเสียงเรียงนามของผมจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ โดยที่รู้ว่าจิตวิญญาณ จิตใต้สำนึก และความศรัทธาของเราจะไม่มีวันถูกทำลายได้อย่างแน่นอน” นายบุญเกื้อหนุน กล่าว