‘ชัยธวัช‘ หวั่นคำสั่งศาลคลุมเครือ ส่งผลกระทบทั้งก้าวไกลและประชาชน
‘ชัยธวัช‘ หวั่นคำสั่งศาลคลุมเครือ ส่งผลกระทบทั้งก้าวไกลและประชาชน ขอดูคำร้องยุบพรรคเรืองไกรก่อนให้ความเห็น ’พิธา’ เชื่อไม่มี สส.สละเรือ
วันนี้ (31 ม.ค. 67) ที่อาคารรัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ภายหลังการแถลงข่าวร่วมกับ สส.พรรคก้าวไกล จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการกระทำของพรรคเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากหลังจากนี้มีคนนำเรื่องไปร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล ทางพรรคได้เตรียมการไว้อย่างไร นายชัยธวัช กล่าวว่า ขณะนี้พรรคคงต้องรอคำวินิจฉัยโดยละเอียดอีกครั้ง แต่แน่นอนว่าไม่สามารถประมาทได้ในทางกฎหมาย
ส่วนกังวลว่าพรรคจะถูกยุบซ้ำรอยกับพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ถึงตรงนั้น แต่อย่างที่เรียนว่า ขั้นตอนต่อไปเราคงต้องรอเอกสารคำวินิจฉัยที่สมบูรณ์ เพื่อเตรียมรับมือในทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าในคำวินิจฉัยของศาลมีการแบ่งพฤติกรรมคนในพรรคเป็น 3 ประเด็น ทั้งการลงชื่อเสนอให้แก้ไขกฎหมาย การใช้สิทธิไปประกันตัวผู้ต้องหาในคดี 112 และ สส.ที่ถูกดำเนินคดี 112 ถือว่าต้องยอมรับว่ามีกระบวนการนี้จริงหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่เรามีความกังวลต่อคำวินิจฉัยที่บอกว่ามันทำให้เกิดความไม่ชัดเจนแน่นอนในหลักเกณฑ์ทั้งข้อเท็จจริงข้อกฎหมายรวมถึงเจตนาเช่นการบอกว่ามี สส. ภาคก้าวไกลไปประกันตัวให้กับผู้ถูกกล่าวที่มีคดี 112 ถือเป็นองค์ประกอบว่าเรามีเจตนาล้มล้างการปกครอง มันก็มีปัญหาเท่ากับหลักที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาไม่ว่าข้อหาใด จะต้องถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แบบนี้ทำให้ขัดกัน และการประกันตัว ผู้ถูกกล่าวหาไม่ว่าข้อหาใดเป็นการใช้สิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรมของบุคคลทุกคนกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ยกเว้นว่าถ้าหากถูกแจ้งข้อหาด้วยข้อหานี้จะต้องถือว่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ห้ามประกันตัวหรือห้ามใครเข้ามาเกี่ยวข้องจะถือว่ามีความผิดไปด้วย
“แบบนี้ผู้พิพากษาที่วินิจฉัยให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาในการกระทำผิดมาตรา 112 ถือว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการล้มล้างการปกครองไปด้วยหรือไม่ ยกตัวอย่างนะครับ เราถึงมีความกังวล เอาหล่ะ คำวินิจฉัยออกมาแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามนั้น แต่มันอาจจะส่งผลกระทบหลักเกณฑ์ในการตีความ ความไม่ชัดเจนแน่นอนในการใช้กฎหมาย
เราก็ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเหล่านี้เอามาถูกร้อยรัดกันมาใช้ในการตีความโดยเจตนา โดยแล้วแต่ใครจะตีความไปได้เลย อย่างนี้ก็จะมีปัญหาได้ในอนาคต ขอบเขต หลักเกณฑ์ ชัดเจนแน่นอนว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ อะไรคือการล้มล้าง อะไรคือการไม่ล้มล้าง อันนี้จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต“ นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า ตอนนี้มีปัญหาในคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ 2 เรื่อง คือ 1.คำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสอง เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งหมายความว่า หลังจากนี้พรรคก้าวไกลต้องห้ามพูดเรื่อง มาตรา 112 อย่างสิ้นเชิง หรือไม่ อย่างไร พูดได้อย่างเดียว คือให้มีการสนับสนุนเพิ่มโทษหรืออย่างไร ยังไม่นับประชาชนที่จะแสดงความคิดเห็นต่อ มาตรา 112 ได้หรือไม่ หรือแสดงความเห็นแบบใดแล้วผิด การเสนอแก้ไขอาจจะถูกตีความนำไปสู่วาระซ่อนเร้นต้องการให้ยกเลิกถือเป็นการล้มล้างหรือไม่
นายชัยธวัช กล่าวถึง รายงาน คป. ของ อ.คณิต ณ นคร ที่เคยเสนอให้แก้ไข ม.112 เป็นส่วนหนึ่งที่ สส.ของพรรคก้าวไกลนำมาใช้ในการเสนอแก้ไข หากยึดตามคำวินิจฉัยนี้ ก็ถือว่าเป็นข้อเสนอที่ล้มล้างการปกครองด้วย เพราะเคยมีการเสนอให้มีการลดโทษ และเสนอให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ แทนที่จะเปิดประชาชนให้ใครก็ได้ดำเนินคดีกัน เป็นอีกหนึ่งปัญหาในความชัดเจนแน่นอน
2.ศาลสั่งไม่ให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ด้วยวิธีการที่ไม่ใช่กระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ม.49 วรรค 2 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีของศาลอาญา ตรงนี้ก็ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร ซึ่งคงต้องไปดูในรายละเอียด ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหา ต่อไปนี้ในการเสนอกฎหมาย ศาล รธน. สามารถวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องรอให้ผ่านกระบวนการ วาระที่ 3 ในสภา ซึ่งจะกระทบต่อปัญหาในอนาคตได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ ศาลระบุถึงรายชื่อ สส.ของพรรค รวมถึง สส.พรรคอนาคตใหม่ ทั้ง 44 คนนั้น ที่เคยเข้าชื่อเสนอร่างแก้ 112 พรรคได้มีการประเมินและเตรียมไว้หรือไม่ว่าอาจจะถูกลงโทษร้ายแรงถึงขั้นตัดสิทธิ์ทางการเมือง นายชัยธวัช กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น แน่นอนว่าการดำเนินการใดๆ หลังจากนี้ ที่เกินสมควร ยืนยันว่า จะทำให้ประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นปมปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งพรรคก้าวไกลมีเจตนาที่จะยุติและลดการนำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นความขัดแย้งในสังคมไทย เพื่อให้เกิดเสถียรภาพและความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตย
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า ข้อเสนอของ สส.พรรคก้าวไกล ก็เสนอด้วยเจตนาเช่นนี้ เจตนาที่จะไม่ทำให้มาตรา 112 กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายซึ่งกันและกัน ไม่เปิดช่องให้ใครผูกขาดความจงรักภักดีไว้กับตัวเอง และอาศัยความจงรักภักดีนั้น เสาะหาผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างปฎิเสธไม่ได้ ว่าเป็นส่วนสำคัญ เรายืนยันว่า เราไม่ได้มีเจตนาตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ส่วนความคิดเห็นในกรณีที่พรรคการเมืองอื่น ก็มีการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ด้วยเช่นกันนั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า หากการวินิจฉัยว่านโยบายแก้ไขมาตรา 112 เป็นการลดสถานะของพระมหากษัตริย์เข้ามาอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง ให้มาเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนผ่านการเลือกตั้ง คำถามคือพรรคการเมืองที่รณรงค์หาเสียงว่าตัวเองเป็นผู้จงรักภักดี หรือโจมตีพรรคอื่นว่าไม่เป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ หรือมีการขึ้นรูปพระราชวงศ์ในเวทีหาเสียง ถือว่าเป็นการลดทอน และเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ทำให้พระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในสถานะที่เป็นกลางทางการเมืองหรือไม่
เมื่อถามว่าคำวินิจฉัยในวันนี้ จะส่งผลกระทบต่อการเสนอกฎหมายฉบับอื่นด้วยหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวยอมรับว่า สิ่งนี้เป็นความน่ากังวล เนื่องจากการตีความที่ดูเหมือนไม่มีขอบเขตในหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนแน่นอน อาจจะถูกตีความว่าแม้กระทั่งกรณีนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่ถูกดำเนินคดี หรือผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 มีนัยยะซ่อนเร้นล้มล้างการปกครองก็ได้ ทั้งที่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และไม่ได้กระทบต่อการปกครองหรือล้มล้างการปกครองแต่อย่างใด
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า ตามบทบัญญัติกฎหมาย มีการละเว้นในส่วนความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่สมัย ร.5 จนถึง พ.ศ. 2499 มีบทยกเว้นความผิดในบทนี้ ซึ่งไม่ได้มีปัญหาใด แต่ปัจจุบันถูกวินิจฉัย ว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง อนาคตก็ไม่รู้จะมีคำวินิจฉัยแบบไหนอีก เป็นตัวอย่างของปัญหาที่ทำให้ความเข้าใจในการให้ความหมายร่วมกันนั้น ไม่มีความชัดเจนแน่นอน และอาจทำให้เกิดปัญหา
ส่วนจะมีโอกาสถอยมาตรา 112 ในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกลหรือไม่นั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า ขณะนี้ร่างกฎหมายส่งไปแล้ว เป็นเรื่องของสภา คิดว่าสุดท้ายเสียงส่วนใหญ่ในสภาจะเป็นข้อยุติที่พวกเรายอมรับร่วมกันได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงการเตรียมการในกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ จะเดินทางไปคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อยื่นยุบพรรคในวันพรุ่งนี้นั้น นายชัยธวัช และนายพิธา ประสานเสียงพร้อมกันว่า เดี๋ยวดูคำร้อง
นายพิธา กล่าวย้ำ ยืนยันเจตนา ว่ามีความบริสุทธิ์ใจไม่มีวาระซ่อนเร้นแต่อย่างใด และไม่มีความตั้งใจที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากความมั่นคงแห่งชาติในลักษณะแบบนั้น
ส่วนความกังวล 2-3 เรื่องนั้น คือความกังวลในนิยามของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความกังวลในเรื่องขอบเขตระหว่างนิติบัญญัติกับศาลรัฐธรรมนูญว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ และความกังวลเรื่องเกี่ยวกับการวินิจฉัยด้วยอะไรที่ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงเยอะ ที่อาจจะมีเรื่องเจตนา การจินตนาการต่างๆ นาๆ ถ้าลงรายละเอียดไป ก็จะเป็นเรื่องสำคัญๆ ทางนิติรัฐ นิติธรรม
เช่น การสันนิษฐานเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน สิทธิในการเข้าถึงการประกันตัว สิทธิรวมตัว เพื่อเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงในสังคม ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย เรื่องแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของตนเองคนเดียว ไม่ใช่เรื่องชะตากรรมของพรรคก้าวไกลอย่างเดียว เป็นเรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องอนาคตของระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย เป็นสิ่งที่รู้สึกว่าเสียดาย เรามีโอกาสที่จะออกจากความขัดแย้ง ที่อาจมีคนนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาอยู่ในความขัดแย้ง แล้วใช้รัฐสภานี้ที่ไม่มีใครสามารถผูกขาดความคิดได้ ว่าควรจะเป็นลักษณะไหน แล้วหานิยามร่วมกัน ตอนนี้ก็เป็นนิยามที่ออกมาจากคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น เป็นสิ่งที่จะต้องดูรายละเอียด แล้วกลับมาหาด้วยกันอีกที เพื่อเดินหน้ากันต่อ
ผู้สื่อข่าวถามคำถามสุดท้ายว่าได้พูดคุยกับ สส. ทั้ง 151 คน จะมีใครสละเรือหรือไม่ สส.ที่ยืนด้านหลังหัวเราะเบาๆ ก่อนนายพิธา พูดว่า “ทุกคนยิ้มหมด แสดงว่ายังอยู่ต่อครับ” พร้อมหัวเราะเล็กน้อย












