POLITICS

‘จิราพร’ ซัดรัฐบาลอนุทินเกิดด้วยวิธีพิสดาร ชี้ MOA ทำฝ่ายค้าน ‘ไร้จุดยืน’ ท้าให้คำมั่นไม่แทรกแซงคดีฮั้ว สว.-เขากระโดง

วันนี้ (29 ก.ย. 68) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระเรื่องด่วน 1 คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีนายมงคล สุรสัจจะ รองประธานวุฒิสภา เป็นประธานในการประชุม

นางสาวจิราพร สินธุไพร สส. ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่ารัฐบาลที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรัฐบาลพิเศษเกิดท่ามกลางสถานการณ์ที่ผิดปกติ และจัดตั้งรัฐบาลด้วยวิธีพิสดาร เพราะหลังจากที่พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลในวันที่ 18 มิ.ย. 68 ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทยและประเทศเพื่อนบ้าน จากนั้นวันที่ 24 มิ.ย. 68 ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านได้ประกาศว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนนายกฯ ในอีก 3 เดือน จากนั้นวันที่ 29 ส.ค. 68 ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ จนเกิดรัฐบาลที่พรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าความเคลื่อนไหวของผู้นำประเทศเพื่อนบ้านสอดคล้องกับกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในประเทศไทยราวกับการจัดวาง ระหว่างการเปลี่ยนรัฐบาลจนถึงวันตั้งรัฐบาลเราพบข่าวลือเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้นมากมาย แม้แต่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลก็บอกว่าพูดไม่ได้หลายคน จึงสงสัยว่าแท้จริงแล้ว MOA ที่ทำให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยภาคพิสดาร อาจเป็นแค่ข้อตกลงฉากหน้า แท้จริงแล้วฉากหลังมีข้อตกลงที่ไม่ได้ระบุไว้อีกหรือไม่

ฝ่ายค้านที่ร่วมทำข้อตกลงหวังจะใช้ MOA ให้รัฐบาลทำตามข้อตกลง แต่เมื่อรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยคลอดออกมามีชีวิต เริ่มทำลายข้อตกลง MOA ทันที ในข้อที่ 4 ระบุว่าห้ามรัฐบาลแปลงร่างเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก แต่ปรากฏว่าข้อตกลงนี้ถูกฉีกตั้งแต่วันแรกที่โหวตเลือกนายอนุทินเป็นนายกฯ มีกลุ่ม สส. แสดงชัดเจนว่าเตรียมย้ายเข้าร่วมกับพรรคภูมิใจไทย เชื่อว่าเวลา 4 เดือนก่อนการยุบสภา พรรคภูมิใจไทยจะเร่งเครื่องเพิ่มจำนวน สส. หากเกิดขึ้นจริง รัฐบาลย่อมขยับเข้าใกล้เสียงข้างมาก

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย. 68) ผู้นำฝ่ายค้านมีการอภิปรายโดยเน้นย้ำกับนายกฯ ว่าอยากให้เคารพข้อตกลงที่ทำไว้กับพรรคประชาชน แต่การที่พรรคภูมิใจไทยมีท่าทีและเจตนาอย่างโจ่งแจ้งในการสะสมกำลังพลเช่นนี้ เท่ากับว่ากำลังจงใจฉีกข้อตกลงแบบไม่เกรงใจผู้นำฝ่ายค้าน ในเมื่อรัฐบาลไม่เคารพข้อตกลง เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่ารัฐบาลนี้จะทำภารกิจใน 4 เดือน ทำตาม MOA และทำตามนโยบายที่แถลงไว้ได้จริง

สิ่งที่นายอนุทินควรแถลงต่อรัฐสภาคือ การเอา MOA มาบรรจุในคำแถลงนโยบายและเอามาอ่านทีละข้อ พร้อมอธิบายว่าจะทำตามข้อตกลงให้สำเร็จใน 4 เดือนอย่างไร เพราะการที่นายกฯ มาอ่านคำแถลงนโยบายทั้งหมด 7 หน้า พร้อมกับมีนโยบายเต็มไปหมด แสดงว่านายกฯ ไม่ได้ฟังในสิ่งที่ผู้นำฝ่ายค้านตกลงกับท่าน ผู้นำฝ่ายค้านบอกว่าไม่ได้เลือกท่านมาบริหาร แต่เลือกมาเพื่อให้ทำตาม MOA แล้วยุบสภา MOA ไม่มีผลผูกพันกับรัฐสภาตามกฎหมาย แต่ทางการเมือง MOA เป็นสถานะที่มีน้ำหนักมีผลต่อรัฐบาลชุดนี้มากกว่านโยบายที่นายอนุทินอ่านให้เราฟัง

เป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐบาลนี้เกิดจาก MOA แต่คนที่พูดถึง MOA น้อยที่สุดกลับเป็นรัฐบาล แม้แต่ในวันแถลงนโยบายท่านก็ไม่พูดถึง หากตนเองเป็นพรรคที่โหวตให้ท่านเป็นนายกฯ การทำแบบนี้ต้องถึงขั้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ สิ่งที่ประชาชนอยากฟังอาจจะไม่ใช่นโยบายที่นายกฯ อ่านเพราะรัฐบาลมีเวลาจำกัดสิ่งที่ประชาชนอยากฟังคือนโยบายที่นายกฯ ไม่ได้อ่าน คดีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น คดีฮั้ว สว. คดีเขากระโดง เนื่องจากประชาชนยังหวาดระแวงสงสัยกลัวว่านายกฯ จะเข้ามายุบคดีก่อนยุบสภา

แม้นายกฯ จะแถลงข่าวยืนยันว่าคดีเหล่านี้ไม่ได้ทำ ถูกกลั่นแกล้ง แต่ท่านเป็นผู้ต้องหาของ กกต. กรมสอบสวนคดีพิเศษ หากท่านยืนยันว่าถูกกลั่นแกล้งเท่ากับเป็นการแถลงนโยบายกับข้าราชการแล้วว่า หากใครทำคดีเหล่านี้เท่ากับเป็นการกลั่นแกล้งนายกฯ หรือไม่ ข้าราชการคงนั่งตัวแข็งกันหมดไม่กล้าทำอะไร นายกฯ ที่แถลงนโยบายไว้ว่าจะยึดมั่นในหลักนิติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม กล้าให้คำมั่นสัญญากับรัฐสภาหรือไม่ว่า จะไม่กลั่นแกล้งหรือโยกย้ายข้าราชการ ผู้เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่ทำคดีเหล่านี้ เนื่องจากท่านยังไม่เคยลุกยืนยันกับรัฐสภา

นางสาวจิราพร กล่าวต่อถึงรายละเอียดใน MOA เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องที่ใหญ่ที่สุดกลับกลายเป็นเรื่องที่เล็กที่สุดในการแถลงนโยบาย คำแถลงนโยบายมีเนื้อหา 7 หน้ากระดาษ แต่พูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียง 3 บรรทัด รายละเอียดน้อยกว่าใน MOA สะท้อนความจริงใจของรัฐบาลในการทำตามข้อตกลง คำแถลงนโยบายควรบรรจุเนื้อหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยละเอียด ต้องบอกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จตาม MOA อย่างไร MOA ยังทำให้เกิดความจริงทางการเมืองที่ว่ากลไกของระบบรัฐสภา กลไกการตรวจสอบ กลไกการถ่วงดุลอำนาจได้ถูกทำให้อ่อนแอลง ทำให้ฝ่ายค้านตั้งคำถาม และตรวจสอบการทำงานกับฝ่ายค้านด้วยกันเอง ทำให้ฝ่ายค้านบางพรรคอยู่แบบไร้ตัวตนไม่ได้ต้องมีตัวตนแต่ไร้จุดยืน เนื่องจากมีฝ่ายค้านส่วนหนึ่งยกมือให้นายอนุทินเป็นนายกฯ และต้องเป็นองค์ประชุมให้กับรัฐบาล

MOA ทำให้กลไกการถ่วงดุลอำนาจมีปัญหาเพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลกับสภาสูงเป็นสีเดียวกัน ทำให้เชื่อมโยงอำนาจบริหารกับองค์กรอิสระผ่านกลไกของ สว. ความจริงทางการเมือง ทำให้เราไม่เห็นความเป็นไปได้ของการสร้างประชาธิปไตยด้วยการทำลายระบบรัฐสภา ทำลายระบบตรวจสอบและทำลายการถ่วงดุลอำนาจ จึงขอถามถึงนายอนุทินว่าเมื่อครั้งที่ไปเซ็น MOA เมื่ออ่านคำแถลงนโยบาย ท่านไม่รู้สึกหรือว่ามันขัดกันเชื่อในสิ่งที่แถลงไปหรือไม่ว่าทำได้จริง ถ้าเชื่อว่านโยบายจะนำไปสู่ความสำเร็จตาม MOA ก็ต้องทำให้สมาชิกรัฐสภาเชื่อด้วย ขอให้นายอนุทินชวน สว. แก้ไขรัฐธรรมนูญกลางสภาฯ เพื่อเปิดทางให้มีการทำประชามติ สร้างหลักประกันว่าการทำ MOA ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนจะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยได้จริงก็ควรมีการทำสัตยาบันร่วมกันระหว่างนายกฯ ผู้นำฝ่ายค้าน และ สว. ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ ทำประชามติ และยุบสภา

อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า MOA ทำให้เกิดรัฐบาลที่กลุ่มอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเป็นรองแค่รัฐบาลที่มาจากทหาร ขาดอย่างเดียวคือ มาตรา 44 นอกจากนั้นมีครบทุกอย่าง กลุ่มอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบนี้อนาคตแม้จะเปลี่ยนรัฐบาล แต่ประเทศไทยต้องอยู่กับระบอบสีน้ำเงินไปอีกนับ 10 ปี ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยจาก MOA ด้วยวิธีแปลกประหลาดพิสดารนี้ จึงเหมือนเป็นการชุบชีวิตพรรคสีน้ำเงินและฝ่ายอนุรักษ์นิยมให้กลับมามีอาวุธครบมือ การทำ MOA จึงไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเดินเข้าใกล้ช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูประชาธิปไตย แต่เป็นการฟื้นคืนชีพของฝ่ายอนุรักษ์นิยมและอำนาจพิเศษอย่างเต็มรูปแบบ

ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะทำให้ 4 เดือนต่อจากนี้เป็น 4 เดือนแห่งการตรวจสอบอย่างเข้มข้น จะใช้ทุกองคาพยพที่มี ทุกกลไกของรัฐสภาติดตามตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลอย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่การตรวจสอบองค์ประชุมที่เป็นหนึ่งในเครื่องมือตามกลไกรัฐสภาในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล

“ท่านนายกฯ ให้คำมั่นต่อรัฐสภาว่าจะยุบสภาภายใน 3 เดือนหรือปลายเดือน ม.ค. 69 เชื่อว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้อยากอยู่แค่ 4 เดือน แต่มีเป้าหมายที่วางแผนจะอยู่ต่ออีก 4 ปี แต่ก่อนที่นายกฯ จะยุบสภา พรรคเพื่อไทยจะทำให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลแบบนี้ สมควรที่จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อในอีก 4 ปีข้างหน้าหรือไม่” นางสาวจิราพร ทิ้งท้าย

Related Posts

Send this to a friend