‘ศบ.ทก.‘ ย้ำ ไทยยึดมั่นสันติวิธี พร้อมตอบโต้หากถูกละเมิดอธิปไตย
ยืนยัน ไทยมีความพร้อมในการร่วมประชุม GBC 4 ส.ค.นี้ หวังลดความตึงเครียดชายแดน
วันนี้ (30 ก.ค. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุมว่า จากที่มีการตกลงหยุดยิงทั้งสองฝ่าย ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. 68 ปัจจุบันยังคงปรากฏการคุกคามของประเทศเพื่อนบ้านถึง 4 เหตุการณ์
ศบ.ทก. เน้นย้ำว่า ไทยยังคงยึดมั่นในความอดทนอดกลั้น ยึดมั่นในสันติภาพ และปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรม แต่หากมีการละเมิดต่ออธิปไตยของไทย มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด และเหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ขอชื่นชม และสดุดีวีรชนที่อยู่แนวหน้า และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่มีส่วนร่วมให้การปฏิบัติหน้าที่สำเร็จ นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหน้าที่สาธารณสุข แพทย์ พยาบาล จิตอาสา ที่ช่วยดูแลกองทัพ รวมถึงภาคเอกชนที่บริจาคสิ่งของช่วยเหลือกองทัพ
ส่วนไทม์ไลน์การหารือระหว่างไทย-กัมพูชา ตามที่ตกลงไว้คือ การประชุม GBC วันที่ 4 ส.ค. 68 ยืนยันว่า ฝ่ายไทยพร้อมเข้าร่วมประชุม และรอฝ่ายกัมพูชาส่งหนังสือเชิญ โดยฝ่ายไทยมีความพร้อมในรายละเอียด และเนื้อหาในการเจรจา นอกจากนี้ การพูดคุยในระดับแม่ทัพภาควันที่ 29 ก.ค. 68 มีข้อตกลงในภาพรวมถึงแนวทางการปฏิบัติร่วมกันของหน่วยทหารทั้ง 2 ฝ่ายในพื้นที่ คาดว่าจะยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่สันติภาพในภูมิภาค
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยรายงานว่า มีผู้อพยพทั้งหมด 190,104 ราย ในศูนย์พักพิง 780 แห่ง ขณะนี้สถานการณ์ยังมีความเปราะบาง จึงขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ซึ่งประชาชนในศูนย์พักพิงกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อภาครัฐยืนยันว่ามีความปลอดภัย
ด้าน นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันมีพลเรือนที่ได้รับผลกระทบ 53 ราย แบ่งเป็น เสียชีวิต 15 ราย ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส 12 ราย บาดเจ็บปานกลาง 13 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 13 ราย ปัจจุบันมีพลเรือนที่กำลังแอดมิดอยู่โรงพยาบาล 11 ราย มีอาการสาหัส 8 ราย และบาดเจ็บปานกลาง 3 ราย มีผู้ป่วยที่กลับบ้านได้แล้ว 13 ราย
ส่วนโรงพยาบาลมีทั้งหมด 20 แห่งที่ต้องปิดบริการ เป็นการปิดบริการแบบทั้งหมด 11 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลน้ำขุ่น โรงพยาบาลน้ำยืน โรงพยาบาลนาจะหลวย โรงพยาบาลกันทรารมย์ โรงพยาบาลภูสิงห์ โรงพยาบาลกาบเชิง โรงพยาบาลพนมดงรัก โรงพยาบาลปราสาท โรงพยาบาลบ้านกรวด โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ และโรงพยาบาลละหานทราย ส่วนอีก 9 แห่งเป็นการปิดบางส่วน ซึ่งส่วนที่ยังเปิดให้บริการจะเป็นห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพในระดับตำบล (รพ.สต.) ได้รับผลกระทบ 144 แห่ง ซึ่งปิดบริการทั้งหมด 140 แห่ง
ผลการดำเนินงานด้านการดูแลจิตใจ ปัจจุบันมีทีม MCATT และบุคลากรด้านสุขภาพจิต เข้าไปคัดกรองประชาชน โดยเฉพาะตามศูนย์พักพิง 21,430 คน พบว่ามีความเครียดสูงกว่า 600 คน มีความเสี่ยงฆ่าตัวตายกว่า 142 คน เบื้องต้นได้ให้การดูแลทางด้านจิตใจ ส่วนผู้ที่มีอาการหนักจะส่งต่อไปยังจิตแพทย์ในการรักษาตัวต่อไป
ด้าน นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศน์ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในการดำเนินการต่อการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา ฝ่ายไทยได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน รวมถึงประเทศผู้สังเกตการณ์ ได้แก่ จีน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้าร่วมการเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 68 รวมทั้งมีหนังสืออีกฉบับถึงฝ่ายกัมพูชาโดยตรงสำหรับกรณีการละเมิดล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 29 ก.ค. 68 ที่ภูมะเขือ
กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์เพิ่มเติมเรียกร้องให้กัมพูชายุติการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงทุกรูปแบบโดยทันที และกลับมาปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด ส่วนข้อมูลโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบ กระทรวงการต่างประเทศจะส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากที่ได้มีหนังสือประท้วงไปที่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียอีก โดยเฉพาะหลังจากที่สองประเทศตกลงกันแล้วว่าจะหยุดยิง ซึ่งขณะนี้มีทหารไทยเสียชีวิตอีก 1 นาย
สำหรับบทบาทของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลก ขณะนี้หลายแห่งร่วมกันชี้แจงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ โดยได้แจ้งข้อมูลปัจจุบัน และหลักการที่ไทยยึดถือให้รัฐบาลและองค์การต่าง ๆ รวมถึงสื่อมวลชนท้องถิ่น และชุมชนไทยในที่ต่าง ๆ ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือน และเข้าใจในจุดยืนในการยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และกลับเข้าสู่การเจรจากับกัมพูชาบนพื้นฐานของความจริงใจ และสุจริตใจ
นอกจากนี้ ยังมีคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ 4 สำนักงาน คณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน และสถานทูตอีกหลายแห่งที่มีหน้าที่ในกรอบพหุภาคี และองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ซึ่งต่างกำลังชี้แจงจุดยืนของไทยในเวทีโลก และกรอบสำคัญที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะภายใต้อนุสัญญาต่าง ๆ เพื่อรักษาท่าที ย้ำบทบาทที่สร้างสรรค์ และแสดงความยึดมั่นต่อพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย












