POLITICS

ครป.-นักวิชาการ ชี้ พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลต้องจับมือกันให้แน่น ปล่อยฟรีโหวตประธานสภาฯ จบไม่สวยแน่

ครป. ร่วมกับนักวิชาการ จัดเวทีวิเคราะห์ “ศึกชิงประธานสภาฯ และนายกรัฐมนตรี” ชี้ ‘ก้าวไกล – เพื่อไทย’ ควรจับมือกันให้แน่น หากปล่อยฟรีโหวตประธานสภาฯ จบไม่สวย จี้ สว.โหวตตามฉันทานุมัติของประชาชนเพื่อให้ประเทศไม่เกิดความขัดแย้ง พร้อมปลุก ส.ส.รุ่นใหม่เพื่อไทยคานอำนาจผู้อาวุโสในพรรค

วันนี้ (30 มิ.ย. 66) เวลา 13:30 น. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย หรือ ครป. จัดเวทีวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทย และข้อเสนอต่อทุกฝ่าย ในหัวข้อ “ศึกชิงประธานสภาฯ และนายกรัฐมนตรี” โดยมี รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผอ.หลักสูตรการเมือง และยุทธศาสตร์การพัฒนา คณะพัฒนาสังคม และยุทธศาสตร์การบริหารนิด้า, นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ดร.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ เลขาธิการองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-Net) และรศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร ผอ.ศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา ม.รังสิต อดีต คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร่วมวงเสวนา

รศ.สมชัย ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมามีกระแสข่าวต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นประธานสภาฯ ทำให้เห็นว่าสังคมไทยตอนนี้เป็นสังคมที่มีการใช้สงครามข่าวสารตามที่ฝ่ายตัวเองต้องการ ซึ่งประชาชนเองก็จะต้องทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะคิดวิเคราะห์ออกไปให้ชัดเจน เช่น กระแสข่าวที่ว่าพรรคเพื่อไทยยอมถอยเมื่อคืนนี้ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทุกสำนักข่าวลงข่าวในลักษณะเดียวกัน เหมือนกันทุกตัวอักษร แสดงให้เห็นว่ามีการใช้สงครามข่าวดังกล่าวในลักษณะที่ปล่อยออกมาพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน และเป็นแหล่งข่าวที่ใช้เหมือนกัน ซึ่งเป็นขบวนการที่ทำเพื่อต้องการสื่อสารถึงประชาชน โดยหวังผลบางอย่าง

ฉะนั้น เป็นสถานการณ์ที่คนเสพข่าว จะต้องวิเคราะห์แยกแยะ และอย่าไปหลงกับสิ่งที่นำเสนอออกมา แต่หากมองจากกระแสข่าวที่ออกมานั้น ตนเชื่อว่าสถานการณ์นี้ยังไม่จบ ซึ่งสิ่งที่ตนเองอยากเห็น คือการจบสถานการณ์ด้วยการประชุมปรึกษาหารือกัน ไม่ใช่การจบด้วยการปล่อยฟรีโหวต หากปล่อยให้เกิดฟรีโหวตสถานการณ์ก็จะจบกัน และจะจบไม่สวย ทำให้เกิดรัฐบาลอีกหน้าตานึงที่ประชาชนไม่ได้ต้องการ

รศ.สมชัย กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นปัญหาในตอนนี้ คือพวกเขาไม่ยอมคุยกัน สิ่งที่จะทำให้เกิดความสามัคคีกัน คือการพูดคุยกันของฝ่ายประชาธิปไตย อย่าใช้การสร้างความชอบธรรมภายนอก เพื่อทำให้อีกฝ่ายต้องยอมจำนน แต่โปรดใช้วิธีการหารือภายในร่วมกัน เพื่อทำให้เกิดการยอมรับ และความสามัคคีกัน ซึ่งจุดที่สำคัญในตอนนี้ คือจะต้องทำอย่างไร ให้การโหวตประธานสภาฯ นั้น มาจากความเห็นชอบของพรรคร่วมทั้ง 2 พรรค และทำให้สามารถเดินต่อไปได้ ซึ่งมองว่าหากไม่สามารถจะจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็จะต้องมีการปรับองค์ประกอบในจัดตั้งรัฐบาล หรือการหาพรรคอื่นมาเพิ่มเสียง ซึ่งหากจะมีการเพิ่มพรรคอะไรที่จะเข้ามาร่วมตั้งรัฐบาล ก็ควรจะเป็นมติของพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่ได้มีการหารือกัน

รศ.สมชัย กล่าวอีกว่า ตราบใดก็ตาม ที่เพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจับมือกันแน่นๆ จะไม่มีทางเกิดภาพการดึงหรือดูด ส.ส. ออกไปได้ หรือการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเสียงข้างน้อย สิ่งที่ควรจะทำในขณะนี้ คือทุกพรรคควรจะสงวนจุดต่าง และทุกพรรคจะต้องไม่ทำร้ายกัน ถ้าอยากจะทำงานร่วมกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามัคคี และอย่าปล่อยให้เกิดการทำร้ายกันในภายนอก จะต้องทำความเข้าใจกันว่า พวกเราคือฝั่งเดียวกัน ที่ต้อง และช่วยเหลือกัน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลของฝั่งประชาชน

ด้าน รศ.ดร.พิชาย เปิดเผยว่า การเมืองไทยตอนนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าประชาชนต้องการการเมืองแบบใหม่ ดูจากหลักฐานว่าพรรคที่ไม่ซื้อเสียงได้คะแนนเยอะ เป็นสัญญาณที่ส่งไปถึงพรรคการเมืองทุกพรรคว่า ประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน และวิถีการเมืองไทยนั้นขยายตัวแบบธรรมาภิบาลเข้ามามีพื้นที่ในเวทีการเมืองไทยมากขึ้น และแสดงให้เห็นว่าการเมืองในแบบระบบอุปถัมภ์ หรือการเมืองแบบกลุ่มอำนาจบ้านใหญ่ ก็จะค่อยๆ ถดถอยลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

การเมืองแบบเกมอำนาจ ก็ยังคงมีส่วนสำคัญในการเมือง และเมื่อเจอการเมืองแบบใหม่เกมการเมืองแบบเก่า ก็จะต้องหาวิธีในการรับมือการเมืองรูปแบบใหม่ โดยบางพรรคยังมีรูปแบบการเมืองแบบเก่า และการเมืองแบบใหม่ผสมกันอยู่ เช่นพรรคเพื่อไทย ที่จะเห็นได้ชัดเจนจากคนภายในพรรค ซึ่งคนรุ่นใหม่ในพรรค เขามองเห็นว่าการเมืองแบบเก่า นำไปสู่ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ส่วนกลุ่มการเมืองแบบเก่าในพรรค ก็ยังคงยึดติดการเมืองแบบบ้านใหญ่ และไม่สามารถสลัดการเมืองแบบเก่าออกไปได้ จึงทำให้เห็นเกมส์การต่อรองกัน และไม่ได้เกิดขึ้นภายใต้สูญญากาศ แต่เกิดภายใต้ความกดดันภายนอก

รศ.ดร.พิชาย ระบุอีกว่า สิ่งที่เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของการไม่ชนะเลือกตั้ง คือความไม่แน่นอนของพรรคเพื่อไทย ทำให้ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจริง คือการที่พรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนที่ไม่แน่นอน และหากเป็นแบบนี้ต่อไปก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า ดังนั้นควรที่จะเลิกเล่นเกมการเมือง และหันมาใช้กันเมืองแบบธรรมาภิบาล ในเรื่องประธานสภาฯ และการจัดตั้งรัฐบาลโดยการยึดหลักตามมติของประชาชน และเสียงที่ประชาชนมอบให้กับนักการเมือง

อีกทั้ง ตนเองเชื่อว่า แกนนำในพรรคเพื่อไทยมีสติปัญญาเพียงพอ ที่จะคิดหรือกำหนดยุทธศาสตร์การเมืองในระยะยาว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีบทบาทในพรรคเพื่อไทย ในยุคปัจจุบัน และเชื่ออีกว่า จะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ แต่ถ้าหากไม่สามารถทำได้ ก็แสดงให้เห็นว่ามีการแทรกแซงจากกลุ่มอำนาจที่อยู่ข้างนอก และทำให้จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้

สำหรับการเลือกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการแข่งขันระหว่างการเมืองหลักธรรมาภิบาลกับเกมอำนาจ แต่คู่ต่อสู้ไม่ใช่พรรคการเมืองด้วยกัน แต่ รศ.ดร.พิชาย มองว่าเป็นวุฒิสมาชิก (สว.) ที่มาจากเกมอำนาจของการรัฐประหารที่ไร้ความชอบธรรมในระบบประชาธิปไตย ซึ่งคนพวกนี้มีสายใยกับกลุ่มที่แต่งตั้งพวกเขาเข้ามา แต่อย่างไรก็ตาม วุฒิสมาชิกมีองค์ประกอบจากหลายส่วน มีกรอบความคิดใหม่ที่เกิดขึ้น ไม่ได้ตกอยู่ในภายใต้การเมืองเก่า โดยยึดหลักประชาธิปไตยในการตัดสินใจ และกำหนดอนาคตของประเทศ ซึ่งเคารพมติของมหาชนในการประกาศสนับสนุนการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมาก และเป็นเสียงส่วนมากของสภาฯ ได้ และตนมองว่า ความคิดเหล่านี้นับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นในกลุ่ม สว.ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีต่อประชาชนในระบบประชาธิปไตยได้

แต่หากเกิดการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่มี สว. สนับสนุน นอกจากการเมืองจะไม่มีเสถียรภาพแล้ว จะกระตุ้นให้คนที่มีจิตสำนึกออกมาชุมนุม และทำให้วิกฤติการณ์ทางการเมือง ซึ่งขึ้นอยู่กับการเลือกของ สว. และตนเองมองว่า สว.ส่วนใหญ่มีวุฒิภาวะมากพอ ที่ไม่ใช่กลุ่ม สว.บางกลุ่มที่มีตรรกะวิปริตในการอ้างสิ่งต่างๆ เพื่อเลือกพรรคที่มีเสียงข้างน้อย

รศ.ดร.พิชาย กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองคิดว่ากระบวนการจะเลือกนายกใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า การเมืองแบบหลักธรรมาภิบาล และการเมืองแบบประชาชนที่มีส่วนร่วม จะมีบทบาทสำคัญในการที่จะกำหนดอนาคตประเทศ รวมทั้งประชาชนไม่ได้มีบทบาทเฉพาะก่อนการเลือกตั้ง แต่ครั้งนี้ภายหลังจากการเลือกตั้ง ประชาชนก็จะมีบทบาทต่อในการขับเคลื่อนรัฐบาลที่มาจากมติของประชาชนเสียงข้างมาก และจะได้รับการจัดตั้งรัฐบาลในการบริหารประเทศต่อไป

ขณะที่ ดร.ลัดดาวัลย์ กล่าวว่า ประชาชนได้แสดงออกอย่างชัดเจน ของการแสดงเจตจำนงอย่างเสรีในการปกครองประเทศ ซึ่งการเมืองในการเลือกตั้งได้เปลี่ยนไปแล้ว ประชาชนตระหนักรู้ว่าการเลือกตั้งของพวกเขาเป็นผู้กำหนดวิถีในการเลือกผู้นำประเทศ และเป็นผู้ที่จะมากำหนดนโยบายพรรคตามที่หาเสียงไว้ ซึ่งเป็นการแสดงสิทธิเสรีภาพในการกำหนดอนาคตของตัวเอง และแสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งของประชาชนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว เพราะมีตัวเลือก

ถึงแม้การเลือกตั้งจะเปลี่ยนไป แต่การเมืองในระบบรัฐสภายังเหมือนเดิม ที่จะมาเปลี่ยนเจตจำนงของประชาชนของกลุ่มผู้มีอำนาจ เช่น การแจกกล้วย หรือกลุ่มงูเห่า ซึ่งถือเป็นการเมืองแบบน้ำเน่า ควรจะทำการเมืองแบบอปริหานิยธรรม เพื่อช่วยให้เกิดการพัฒนาคุณธรรมทางการเมืองในระบบรัฐสภา และหากสามารถสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบนี้ได้ ก็จะทำให้เรามีความหวังว่าจะได้เห็นการเมืองที่มีการพัฒนาต่อไปได้

ดร.ลัดดาวัลย์ กล่าวอีกว่า สมาชิกวุฒิสภาบางคนมักจะอ้างในเรื่องของบทบัญญัติเฉพาะกาล แต่จริงๆ แล้ว บทบัญญัติเฉพาะกาลคือสะพานเชื่อมระหว่างกฎหมายเก่ากับกฎหมายใหม่ ให้สามารถไปต่อกันได้อย่างราบรื่น ไม่ชะงักหยุดลง ซึ่งระบบรัฐสภาตอนนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไร หรือจำเป็นที่ต้องใช้บทเฉพาะกาลของ สว. ดังนั้น สว. ควรจะเคารพเจตนารมย์ของกฎหมายหลัก ไม่ไปขัดขวางล้มล้างเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญตามมาตรา 159 และจะทำให้เราได้ประธานสภาฯ และนายกรัฐมนตรีตามเจตจำนงของประชาชน

ทั้งนี้ ดร.ลัดดาวัลย์ ยังฝากถึงองค์กรอิสระว่า ควรจะทำหน้าที่อิสระตามที่กฎหมายมอบอำนาจไว้ ข้าราชการทั้งหลาย ไม่ควรทำตัวเป็นพรรคราชการ หรือทำตัวขัดขวางเอาเสียเอง และควรเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนตามที่พรรคการเมืองที่เข้ามากำหนดไว้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของวงเสวนา ครป. และเครือข่ายภาคประชาชน เรียกร้องให้ พรรคการเมือง และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ทำตามประชาชน และโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามมติเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่การเมืองไทยจะเกิดความแตกแยก

Related Posts

Send this to a friend