’สมศักดิ์‘ แจงยิบ ปมวีโต้มติแพทยสภา ลงโทษแพทย์คดีชั้น 14
’สมศักดิ์‘ แจงยิบ ปมวีโต้มติแพทยสภา ลงโทษแพทย์ รักษาตัว ’ทักษิณ’ ชั้น 14 ชี้ ทำตามข้อมูลที่ได้รับจากคณะกรรมการสอบสวน ยัน ไม่มีใบสั่ง
วันนี้ (30 พ.ค. 68) เวลา 17:50 น. ที่อาคารรัฐสภา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ชี้แจงถึงการวีโต้มติแพทยสภา กรณีลงโทษ 3 แพทย์ที่รักษาตัว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ว่า ตนขอบคุณสื่อที่นำเสนอคำชี้แจงที่ตนส่งไปตามมาตราที่ 25 ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม ก็อาจทำให้การอธิบายความง่ายขึ้น โดยในขั้นตอนของการร้องเรียนที่มีผู้ร้องเรียนแพทย์ทั้ง 4 คน และมีคณะอนุกรรมการ 3 ชุด ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการจริยธรรม, คณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง, คณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม และคณะกรรมการแพทยสภา ที่มีหน้าที่พิจารณา
สำหรับผู้ที่ถูกร้องเรียนประกอบด้วย นพ.วัฒน์ชัย มิงบรรเจิดสุข ผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์, พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ ในฐานะแพทย์ผู้ตรวจร่างกาย ขณะรับตัวผู้ต้องขังใหม่ รพ.ราชทัณฑ์, พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ แพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจ โดยเมื่อเรื่องราวถูกรับเข้าไปพิจารณาแล้วพบว่ามีมูล จึงทำการส่งให้ คณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตรวจสอบ
ซึ่งจะมีบทบาทในการลงโทษ โดยมีมติว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่มีความผิดตามที่กล่าวหา และผู้ถูกร้องที่ 2 ความผิดให้ว่ากล่าวตักเตือน ส่วนผู้ถูกร้องที่ 3 นั้นมีความผิดคือภาคทัณฑ์ และผู้ถูกฟ้องที่ 4 ไม่มีความผิด ซึ่งตนได้ใช้แนวทางข้อมูลส่วนใหญ่จากคณะอนุฯ สอบสวนข้อเท็จจริง แต่ในคณะอนุฯ กลั่นกรองจริยธรรม ซึ่งตนได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมไป 3 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการให้ข้อมูลกลับมา จึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาตามข้อมูลที่มีอยู่ของคณะสอบสวนข้อเท็จจริงที่ได้ลงโทษไปครั้งแรก แต่ในข้อมูลมีระบุมาว่าชุดคณะอนุฯ กลั่นกรองจริยธรรมนั้น ได้มีการพิจารณาเพิ่มโทษขึ้นไป ก่อนที่แพทยสภาจะมีความเห็นตามแนวทางของคณะอนุฯ กลั่นกรองจริยธรรม โดยคณะอนุฯ สอบสวนข้อเท็จจริง ใช้เวลา 4 เดือนถึงลงโทษ แต่คณะอนุฯ จริยธรรม ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ไม่ถึง 1 วัน ก็พิจารณาเพิ่มโทษขึ้นและมีผลดังกล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในข้อเท็จจริงตนได้ทำหนังสือให้คณะแพทยสภาพิจารณาในมาตรา 25 ตามที่ตนส่งไปโดยยึดข้อมูลที่มีอยู่ ปรากฎว่า นพ.วัฒน์ชัย ได้เห็นชอบตามมติของแพทยสภา
ส่วนกรณีของ พญ.รวมทิพย์ การอนุญาตเรื่องการใช้ใบส่งตัวเพื่อประกอบในการส่งตัวผู้ป่วยนั้น ไม่ได้มีผลต่อการส่งตัว คือ แพทย์ผู้นี้มีอำนาจในการส่งตัว เพราะการส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำนั้นเป็นอำนาจของผู้บัญชาการเรือนจำ ตามกฎกระทรวงการทรงตัวของผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ พ.ศ.2563 เป็นกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมและเป็นกฎหมายของราชทัณฑ์ ในส่วนนี้ไม่ได้ถูกนำเอามาพิจารณา เมื่อเราเห็นว่าการดำเนินการส่วนนี้ไม่ได้มีการพิจารณาให้ครบถ้วน จึงเห็นสมควรว่าจะยกประโยชน์ให้กับผู้ถูกร้อง
สำหรับ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ นั้น มีการให้สัมภาษณ์ 2 ครั้ง ไม่ได้มีการพูดคำว่า “ผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤต” ซึ่งได้พยายามหาข้อมูลที่ได้บันทึกเสียงต่างๆ ดูแล้วไม่มีคำพูดดังกล่าวจริง แต่ได้ให้สัมภาษณ์เพียงว่า “อาการหนัก น่าเป็นห่วง” และการสัมภาษณ์นั้นไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อน เป็นการสัมภาษณ์แบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งเจ้าตัวเป็นแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจเป็นเพียงการได้รับรายงานการมาเท่านั้น ซึ่งน่าเสียดายที่ตนไม่มีข้อมูลของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมจึงได้พิจารณาไปตามแนวทาง ตามข้อมูลที่ได้จากคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จ จากนั้นจึงยกประโยชน์ให้ผู้ถูกฟ้อง
ส่วนกรณีของ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ การเขียนแสดงความคิดเห็นของแพทย์นั้นระบุเพียงว่า “การรักษายังไม่สิ้น ยังควรรักษาต่อในโรงพยาบาล” โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นโรงพยาบาลที่ไหน ซึ่งการเขียนใบแสดงความเห็นนั้นถือเป็นดุลพินิจและวิจารณญาณของแพทย์แต่ละคน โดยผู้ถูกร้องรับทราบว่าผู้ป่วยมีโรคประจำตัวทั้งหมด 14 โรค รู้ถึงความซับซ้อนในการรักษาซึ่งอาจแตกต่างจากความเห็นของราชวิทยาลัย และรับรู้ข้อมูลเพียงบางโรคเท่านั้น ดังนั้นการเขียนแสดงความเห็นแพทย์จึงไม่อาจเหมือนกันทั้งหมด ประกอบกับคณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนั้นได้สอบสวนก่อนไปแล้วและ พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีความผิด ตนก็เห็นตามคณะอนุฯ ชุดที่ 2
สำหรับกรณีที่วีโต้กลับไป เป็นเรื่องของการเพิ่มโทษของอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมอย่างเดียวหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า โทษเป็นไปตามที่อนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมระบุมา ซึ่งตนไม่มีข้อมูลในรายละเอียด มีเพียงมติของคณะอนุกรรมการการกองจริยธรรม ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้เราจะเห็นว่ามาตรฐานของข้อมูลหากเรายอมให้ปล่อยไปโดยสร้างมาตรฐานใหม่ตนมองว่าแนวทางของการลงโทษแพทย์ทั้งหลายทั่วประเทศต้องเปลี่ยนแนวทางการปฏิบัติใหม่ หรือสร้างอัตราโทษขึ้นมาใหม่ก็จะเดือดร้อนกันไปหมด ตนไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นได้เว้นเสียแต่ว่าแนวทางต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิม ตนก็อยากให้มีมาตรฐานใหม่
ส่วนกรณีที่เคยบอกว่าเป็นการเคลื่อนไหวแบบไม่เป็นธรรมชาติ หมายถึงการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ นายสมศักดิ์ ระบุว่า ตนไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหว เพราะมันไม่เป็นธรรมธรรมชาติของแพทยสภา ถึงที่ที่ผ่านมาในอดีตทั้งหมดตนก็ไม่ได้ยับยั้งไปเลย เนื่องจากไม่มีใครเข้ามาร้องเรียนหรือขอความเป็นธรรม และเห็นว่าในเมื่อเขาไม่ติดใจเราก็ให้ผ่านไป แต่เมื่อเมื่อวานนี้มีคนเข้ามาขอความเป็นธรรมตนก็คิดว่าควรจะต้องพิจารณา
ขณะที่หลายคนมองว่า ความไม่เป็นธรรมชาติในการวีโต้กลับแพทย์ทั้ง 4 คน จนมีการวิพากษ์วิจารณ์นั้น นายสมศักดิ์ เผยว่า เราดูแต่แนวทาง แต่ไม่ได้ไปดูกฎหมายหรือระเบียบของราชทัณฑ์ โดยแพทย์รายที่ 2 เป็นผู้ที่ทำบันทึกข้อมูลไว้แต่เป็นผู้มีอำนาจในการส่งตัวออกไปรักษาที่อื่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้ออกไปรักษาตัวข้างนอกเลย
ส่วนวันที่ 12 มิ.ย. ที่แพทยสภาจะมีการประชุมกันอีกรอบ จะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือหรือไม่นั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในเรื่องของความเชื่อถือไม่ได้อยู่ตรงนี้เพราะการดำเนินการหรือการพิจารณาตนไม่ได้ดูคนเดียวเพียงลำพัง แต่มีนักกฎหมายหลายคน และแนวทางปฏิบัติของแพทยสภาก็มีแพทย์ที่เป็นที่ปรึกษาช่วยกันดู เมื่อดูแล้วอะไรที่ก้ำกึ่งโดยในอดีตที่ผ่านมาก็ยกประโยชน์ให้ผู้ถูกร้อง แต่นี่เสียงส่วนใหญ่ก็ให้เขาพ้นผิดไปแล้ว เราจะมาจับเขาไปทำโทษอีกก็บอกว่าโหดร้ายเกินไปหรือไม่ ตนเรียนคณิตศาสตร์มา ไม่ได้เป็นนักสังคมหรือนักกฎหมาย จึงมองว่า 1+1 เป็น 2 เมื่อถ่วงออกมาเป็นไปในลักษณะนี้ตนจะดันทุลังไปทำโทษก็ไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีการออกมาเรียกร้องให้ถอดถอนตนนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เป็นไรหรอก ตนเป็นนักการเมืองมาตั้งแต่ปี 2524 วันนี้ก็ 43 ปีแล้ว ก็ใช้เวลากับการเมืองมานานพอสมควร ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ไม่เป็นไร เนื่องจากตนเป็นคนที่มีความพร้อมไม่ตระหนกตกใจกับอะไรทั้งสิ้น เราคิดว่าทำดีที่สุดและตรงไปตรงมาที่สุด มีเหตุผล ไม่เอนเอียง เพราะหากเอ็นเอเวลานอนก็คงรู้สึกหนาว แต่ตอนนี้สบายเพราะเราไม่ต้องไปทำอะไรให้เสียหาย เพียงแต่เราปกป้องหน่วยงานด้านนี้เพื่อไม่ให้มาตรฐานของการทำโทษคนที่มีสติปัญญามันสมองล้ำเลิศในประเทศ คือ แพทย์ พวกเราเรียนสู้เขาไม่ได้ ตนก็สู้เขาไม่ได้ จึงคิดว่าเค้าควรจะใช้ความรู้ความสามารถที่ดีเลิศเหล่านี้ทำประโยชน์ให้สูงสุด ไม่ใช่เอามาทำอะไรที่เหมือนกับตัวอย่างอื่นๆ ที่เราเห็นกันอยู่
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังถามอีกว่า หากรัฐบาลไม่ยื่นมือเข้ามาจะมีความผิดตาม ม.157 หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า บางทีในเรื่องของการประชุมในแต่ละชุดก็มีคำพูดคำจาหรือคำวิพากษ์วิจารณ์ว่าถูกล็อบบี้หรือไม่ ตนคิดว่าอะไรที่เราทำงานให้กับรัฐ เชื่อว่าทุกคนที่เป็นนักการเมืองหรือเป็นคณะกรรมการต่างๆ ที่มีมีผลต่อการทำโทษลงโทษผู้อื่น ก็ถูกจับจ้องทั้งนั้น ฉะนั้นหากเราไม่สามารถที่จะเป็นกลางและตอบคำถามได้ก็จะเดินลำบาก
ส่วนกรณีที่อีกฝ่ายออกมาโต้กลับว่าเอกสารขอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองได้มีการส่งไปหมดแล้ว นายสมศักดิ์ เผยว่า เค้าบอกว่าอาอนุกรรมการกลั่นกรองมีความเห็นอย่างนี้ ไม่ได้มีการลงรายละเอียดข้อมูลต่างๆ ฉะนั้นแนวทางต่างๆ ที่เราจะยึดถือได้ก็ต้องดูข้อมูลของคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน เพราะขณะนี้ใช้เวลา 4 เดือน แต่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองใช้เวลาไม่ถึง 1 วัน
เมื่อถามต่อว่าหลังจากนี้ต้องมีการรับแรงกระแทกหรือไม่ เนื่องจากหลายคนมองการวีโต้กลับไปเหมือนเป็นการเปิดศึกกับแพทยสภาและแพทย์ทั่วประเทศ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่จริง ตนคิดว่าแพทย์ทั่วประเทศหากยังอยู่ในวิชาชีพนี้เขาจะรู้ว่าตนออกมาปกป้องในส่วนของอัตราโทษที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จะเพิ่มอัตราโทษในลักษณะนี้ เพราะในอดีตหากกระทำความผิดแค่นี้จะมีการยกโทษให้หมด แต่ในปัจจุบันกลับมีการพักใบอนุญาต และหากแพทย์ไม่มีอาชีพอื่นก็ต้องตกงานครอบครัวจะเป็นอย่างไร โอนมาเพื่อทำให้ทิศทางของการลงโทษยังคงเหมือนเดิมอยู่ ไม่ได้ทำให้เพิ่มไปตนก็พยายามทำให้ดีที่สุด อะไรที่มากระทบตนก็ถือว่าตนทำถูกต้องแล้ว จะไม่ตื่นเต้นและไม่คิดอะไรมาก
ส่วนจะยอมรับผลที่ตามมาหรือไม่นั้น นายสมศักดิ์ ระบุว่า ไม่มีอะไรตามมา
ส่วนจะเอาอยู่หรือไม่กับกระแสเรื่องนี้ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า อย่าไปคิดมาก แพทย์เขาเป็นผู้มีสติปัญญามันสมองที่ดี เขาไม่ทำให้บ้านเมืองเสียหายหรอก
สำหรับกรณีที่มีการอ้างถึงการพิจารณาว่ามีการพิจารณาเพียงระยะสั้นๆ แต่จากที่มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา ก็ใช้ระยะเวลาเพียงไม่ถึง 15 วัน จะเป็นข้อแย้งหรือไม่ว่าทำไมเลือกที่จะเชื่อคณะชุดนี้ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ได้เลือกที่จะเชื่อชุดที่ปรึกษานี้ แต่ตนดูคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนที่เขาทำงานมากว่า 4 เดือน และเขายกประโยชน์ให้กับผู้ถูกร้องที่ 1 และ 4 ตนก็ดูรายละเอียดที่อธิบายความมา
ส่วนกรณีที่หลายคนมองว่าการวีโต้กลับไปนั้นมีใบสั่งหรือไม่ นายสมศักดิ์ ระบุว่า การวีโต้หากไม่มีข้อมูลก็วิตโต้ไม่ได้ เราตัดสินปัญหาโดยข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งหากมีอย่างนี้เราก็ไม่ตัดสินเป็นอย่างอื่น ฉะนั้นต้องไปดูว่าข้อมูลที่ได้มาครบถ้วนแค่ไหน เพราะเราตัดสินบนข้อมูล โดยอำนาจหน้าที่ของสภานายกพิเศษต้องดูข้อมูลทั้งหมด ยืนยันว่าไม่มีใบสั่ง ใครจะมาสั่งตนได้อย่างไร












