POLITICS

‘ภคมน‘ ชำแหละงบปี 69 เผย งบประมาณจังหวัด เน้นสร้างถนน-อาคาร

‘ภคมน‘ ชำแหละงบปี 69 เผย งบประมาณจังหวัด เน้นสร้างถนน-อาคาร ลั่น ทิ้งประชาชนไว้ข้างหลัง จนเกิด ”ความเหลื่อมล้ำ“ ต้นตอของความยากจน-ความตกต่ำคุณภาพชีวิตประชาชน

วันนี้ (30 พ.ค. 68) นางสาวภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ วาระร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569

นางสาวภคมน กล่าวว่า ตนเองจะเริ่มต้นการอภิปรายพรบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ด้วยคำว่า “เหลื่อมล้ำ” เพราะเราเองพูดเรื่องนี้กันมาแล้วเป็นสิบ ๆ ปี แต่จำเป็นต้องพูดเพราะปัญหาความเหลื่อมล้ำคือ ต้นตอของความยากจน และความตกต่ำของคุณภาพชีวิตประชาชน ซึ่งเราทราบกันดีว่าโอกาสของคนในเมืองใหญ่กับโอกาสของคนในชนบทมีไม่เท่ากันเพราะที่ผ่านมาตั้งแต่อดีต รัฐบาลมักทุ่มทรัพยากร และงบประมาณให้กับหัวเมืองใหญ่ก่อน ซึ่งผลกระทบก็คือเป็นการเพิ่มช่องว่างระหว่างชนชั้น และข้อมูลที่น่าสนใจ ของเวอร์แบงค์ปี 2567 ได้บอกเอาไว้ว่า ประมาณ 70% ในการใช้จ่ายของรัฐบาลถูกใช้ในกรุงเทพฯ แม้กรุงเทพฯ จะมีสัดส่วนเพียง 1 ใน 3 รายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศ หรือ GDP ซึ่งการใช้จ่ายแบบนี้ทำให้เกิดช่องว่างการพัฒนาของหัวเมือง และชนบทกว้างขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ จากผลดัชนีวิเคราะห์ศักยภาพการพัฒนาเกิน 50% ของจังหวัดในประเทศไทย มีความพัฒนาต่ำกว่าศักยภาพ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน และเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน หมายความว่าจริง ๆ แล้วพื้นที่ในต่างจังหวัดส่วนมากมีศักยภาพที่จะสร้างเม็ดเงิน และเติบโตได้ดีแต่รัฐไม่สนับสนุน

“จึงไม่แปลกว่าทำไมคนในต่างจังหวัดถึงได้ทิ้งบ้าน ทิ้งครอบครัว เข้ามาทำงานในเมืองใหญ่เพราะบ้านเกิดมันไม่มีโอกาส” นางสาวภคมน กล่าว

ในขณะเดียวกัน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็จะเข้าใจปัญหานี้เป็นอย่างดีเพราะท่านเองได้แถลงไว้ที่สภาแห่งนี้ในวันแถลงนโยบาย ว่าจะทำให้ประเทศไทยทุกตารางนิ้วเป็นโอกาสของคนทุกคน ซึ่งถือเป็นความมุ่งมั่นของท่านนายกฯ ที่จะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน แต่ก็แค่คำพูด และไม่มีแววว่าจะเกิดขึ้นได้จริง เพราะการปล่อยให้งบประมาณจังหวัด และกลุ่มจังหวัดถูกจัดสรรแบบเดิมไร้ประสิทธิภาพในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตงบประมาณจังหวัด และกลุ่มจังหวัดมีโครงสร้างการใช้จ่ายที่เอาง่ายเขาว่าไม่ว่า ท่านจะตั้งโครงการชื่อสวยหรูหลากหลายขนาดไหน สุดท้ายก็จบที่การสร้างถนน ทำสะพาน ติดไฟฟ้าส่องสว่าง อีกส่วนหนึ่งก็เอาไปจ่ายกับเขื่อนป้องกันตลิ่ง ที่เหลือก็เอาไปก่อสร้างกระจุกกระจิก และจัดอบรมสัมมนา

รวมถึงเอาไว้ส่วนหนึ่งเป็น Pocket Money ที่เรียกว่า “งบบริหารจัดการ” ปีหนึ่งเฉลี่ยราว ๆ 700 กว่าล้านบาท ให้ติดกระเป๋าผู้ว่าฯ เอาไว้จัดสรรเมื่อกรณีจำเป็น และเมื่อนโยบายงบประมาณก้อนนี้เขียนเอาไว้ชัดเจนว่า “ต้องการให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมอันก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง” แต่ดูเหมือนนโยบาย และเกณฑ์ข้อนี้จะถูกละเลยไปไกลในยามที่ประชาชนในชนบทเค้าต้องเจอปัญหาเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นความยากจน การเข้าถึงการศึกษา การเข้าถึงระบบสาธารณสุข การที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณหลักหมื่นล้านไปกับโครงการก่อสร้างนับเป็นการกระทำที่ละเลยปัญหาพี่น้องประชาชน

ดังนั้น การบริหารงบประมาณอย่างไร้ประสิทธิภาพถ้าเราคำนึงว่างบที่เราเอาไปใช้ในโครงการก่อสร้างนั้นมีความซับซ้อนกับกรมโยธาที่จัดสรรลงจังหวัดอยู่แล้ว ซึ่งงบประมาณจังหวัด และกลุ่มจังหวัดถูกนำไปใช้ในลักษณะที่ซ้ำซ้อน ล้มเหลว ไม่ตอบโจทย์ ไม่เกิดประโยชน์ ไม่คุ้มค่าภาษีประชาชน

นอกจากนี้ ความล้มเหลวในอดีตที่มีการทิ้งร้าง สร้างไม่เสร็จ เสร็จก็ไม่มีคนใช้ ไร้หน่วยงานรับผิดชอบ ยกตัวอย่าง โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวลำน้ำทวน จ.ยโสธร ใช้งบประมาณกลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 เป็นเงิน 24 ล้านบาท ปัจจุบันส่งมอบให้รัฐบาลไม่ได้ เพราะติดขัดในช่วงของกรมที่ดิน โครงการอาคารแสดงศิลปวัฒนธรรม จ.ตรัง ใช้งบประมาณจังหวัดภาคใต้อันดามัน เป็นเงิน 39 ล้านบาท ปัจจุบันทิ้งร้านไม่ได้สร้างต่อ โครงการอาคารอเนกประสงค์ จ.นครศรีธรรมราช ใช้งบประมาณของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยและสุดท้ายโครงการอาคารศูนย์ OTOP จ.อุตรดิตถ์ เป็นเงินจำนวน 35 ล้านบาทซึ่งปัจจุบันถูกทิ้งร้างและได้รับเรื่องร้องเรียนมาว่าเป็นที่ซ่องสุมในการเสพยาเสพติด นี่แค่ส่วนเล็กน้อยของซากความล้มเหลวในการใช้งบประมาณจังหวัด และกลุ่มจังหวัดในการ ก่อสร้างที่มันไม่ตอบโจทย์กับพื้นที่

โครงการทิ้งร้างก่อสร้างคือ การก่อสร้างที่ไม่ตอบโจทย์แบบนี้มีทุกจังหวัดจริง ๆ ซึ่งการเดินหน้าก่อสร้าง แต่ละปีมันไม่มีการประเมินความคุ้มค่าอะไรเลยงบประมาณ 10 ล้านบาท โครงการนั้นแทบไม่ได้ใช้ บางแห่งถ่ายโอนไม่ได้ด้วยซ้ำ ผิดระเบียบในการใช้ที่ดิน นี่ถือเป็นความผิดพลาดของคนที่มีอำนาจในการใช้งบประมาณ และตนเองไม่เคยเห็นว่าใครต้องรับผิดชอบ ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ต้องใช้งบประมาณแบบนี้ ก็เพราะงบประมาณจังหวัด และกลุ่มจังหวัด คนที่มีอำนาจใช้คือผู้ว่าราชการจังหวัดที่แต่งตั้งโดยกระทรวงมหาดไทยที่ไม่ได้ยึดโยงกับพี่น้องประชาชน ไม่ได้มาจากประชาชน ไม่เข้าใจพื้นที่ ซึ่งมาปีสองปีก็ไป

ถ้ายังจัดสรรงบประมาณตรงพื้นที่กันแบบนี้เมื่อไหร่ความเหลื่อมล้ำจะหายไปจังหวัดที่รวยเค้าก็ยิ่งรวยขึ้นไปจังหวัดที่จนที่รอคอยการพัฒนาก็ยิ่งทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลังการพัฒนาต้องจับมือโตไปด้วยกันอย่าทิ้งใครไว้ข้างหลังแบบนี้แน่นอนว่ารัฐบาลปัจจุบันรับรู้ปัญหานี้เป็นอย่างดีและหากมีเจตนาในการพัฒนาท้องถิ่นจริง อย่างที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ตนเองคิดว่าเริ่มต้นการจัดงบประมาณก้อนนี้ก่อนไม่อย่างนั้นจะยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านี้เพราะงบประมาณจังหวัด และกลุ่มจังหวัดมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี

ในปีงบประมาณ 2569 งบประมาณกลุ่มจังหวัดได้รับการจัดสรรถึง 26,525 ล้านบาท นี้ถูกนำไปสร้างถนนการก่อสร้างเป็นวงเงิน 13,760 ล้านบาทซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลล้มเหลวในการกระจายอำนาจตั้งแต่เริ่มต้นซึ่งจังหวัดที่ได้รับงบประมาณมากที่สุดคือกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่างสองซึ่งงบประมาณที่ได้เป็นจำนวน 395 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 68 มากสุดถึง 43% แต่งบนี้ยังคงเน้นไปที่การสร้างถนน แต่ไม่ได้สนใจในการศึกษา “นักเรียนมีถนน แต่ไม่มีอนาคต มีสะพาน แต่ไม่มีเส้นทางชีวิตที่ดีขึ้น”

ขณะเดียวกัน ตนเองขอยกตัวอย่าง จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนเป็นพิเศษคือ จ.นครพนม ซึ่งมีนักเรียนยากจนพิเศษเป็นอันดับ 3 จากทั้งประเทศ ได้รับงบประมาณ 285 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 68 43% ซึ่งกว่า 80% กลับถูกใช้ในงานก่อสร้าง แทนที่จะนำมาพัฒนาด้านการศึกษาอย่างแท้จริง เป็นที่ทราบกันดีว่าจังหวัดชายแดนใต้เป็นพื้นที่ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่รุนแรงที่สุดโดยงบประมาณรวมกัน ของทั้งจังหวัดและคนจังหวัดชายแดนใต้จำนวน 1,205 ล้านบาทใช้จ่ายไปกับการก่อสร้างและฝึกอบรม เป็นไปได้อย่างไรไม่มีโครงการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ไม่มีโครงการเพื่อยกคุณภาพยกระดับคุณภาพการศึกษาให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้เลยแม้แต่โครงการเดียว

นางสาวภคมน ยังกล่าวอีกว่า วันนี้การพัฒนาที่รัฐบาลคิดมีแต่การสร้างถนน สร้างอาคาร สร้างสะพาน สร้างแหล่งน้ำ สร้างทุกอย่าง แต่สร้างเดียวที่ไม่ทำคือ “สร้างสรรค์” รัฐบาลไม่เคยสร้างสรรค์การใช้งบประมาณ เพื่อคนที่รอคอยการพัฒนารัฐบาล ควรที่จะคำนึงถึงปัญหาที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนั้น ตนเองขอเสนอให้มีการจัดการงบประมาณจังหวัด และกลุ่มจังหวัด อย่างสร้างสรรค์ ตอบโจทย์ความต้องการของคนในพื้นที่ให้มากกว่านี้ ไม่ใช่มีเพียงการถนนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ควรเริ่มจากการสร้างสมดุลหลายด้าน ทั้งการพัฒนาคมนาคม ขนส่งสาธารณะ การศึกษา ระบบสาธารณสุข เครื่องมือทางการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ให้ลงพื้นที่ไปถามประชาชน ไม่ใช่คิดเอาเอง รวมถึงให้เปลี่ยนสูตรการจัดสรรงบประมาณคำนึงถึงการพัฒนาจังหวัดจากการจัดสรรประมาณแบ่งเค้กอำนาจ เป็นกำหนดยุทธศาสตร์ระยะสั้น ระยะยาว วางงบประมาณในการพัฒนาแต่ละพื้นที่ และดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างไร

ภคมน กล่าวต่อว่า เมื่อเราต้องการเห็นการกระจายอำนาจ อยากเห็นการถ่ายโอนงบประมาณ ควรให้อำนาจการตัดสินใจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองที่มีความเชื่อมโยงกับประชาชน ที่สามารถมาตรวจสอบได้โดยประชาชนได้อย่างใกล้ชิด

“แม้ดิฉันจะมีพลังไม่มากพอ ขอเรียกร้อง และฝากไปยังเพื่อนสมาชิกที่ต้องกลับไปมองหน้าประชาชนของท่าน เมื่อได้มีการชำแหละของดิฉันแล้วว่างบประมาณก้อนนี้ถูกใช้โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรก หากเป็นผู้แทนของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ควรที่จะนิ่งเฉย“

นางสาวภคมน ได้ตั้งถามคำถามไปถึงนายกฯ และรัฐบาลว่า “จะให้ประชาชนเผชิญกับความเหลื่อมล้ำแบบนี้จริง ๆ หรือ หากเพิกเฉยประชาชนก็จะได้ทราบว่าท่านเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการปล่อยให้พวกเขารับภาระในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลแบบนี้ เกียรติยศของท่าน ศักดิ์ศรีของท่านในฐานะผู้แทนราษฎรก็อาจจะเหลือน้อยลง พอ ๆ ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล”

ทั้งนี้ นางสาวภคมน กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองจึงไม่สามารถเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 2569 ที่ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำจัดสรรงบประมาณทิ้ง การทิ้งประชาชน ไว้ข้างหลังแบบนี้ได้

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat