‘ศิริกัญญา’ ผิดหวังนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลอนุทิน ไร้ทิศทาง-ขาดรายละเอียด
‘ศิริกัญญา’ ผิดหวังนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลอนุทิน ไร้ทิศทาง-ขาดรายละเอียด บอก มีเวลาแค่ 4 เดือน ต้องแก้ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า ชี้ เร่งอนุมัติงบกลางทำ ‘คนละครึ่ง’ 6.6 หมื่นล้าน มอง เป็นการแจกเงินหาเสียงล่วงหน้า หวั่นสร้างความเสียหาย สร้างภาระรัฐบาลหน้า
วันนี้ (29 ก.ย. 68) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระเรื่องด่วน 1 คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีนายมงคล สุรสัจจะ รองประธานรัฐสภา เป็นประธานในการประชุม
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า ในฐานะ สส. ไม่คิดว่าจะต้องอภิปรายการแถลงนโยบายของรัฐบาลถี่ขนาดนี้ ซึ่งตนเองจะเน้นย้ำในเรื่องของคำแถลงนโยบายของรัฐบาลว่าเป็นสัญญาประชาคม ที่รัฐบาลได้ทำไว้กับพี่น้องประชาชน ว่าจะทำอย่างไร และจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ดังนั้น คำแถลงนโยบายรัฐบาลที่ดีจำเป็นต้องเป็น GPS หรือ Government policy statement เป็นเข็มทิศที่จะบอกว่าตกลงเป้าหมายของรัฐบาลคืออะไร และต้องเดินไปทางไหนเพื่อสู่จุดหมาย
นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า ในเมื่ออ่านคำแถลงนโยบายอยู่ในแพตเทิร์นเดิม ไม่ต่างจากสองนโยบายก่อนหน้า หรือแม้กระทั่งในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยซ้ำ และก็บอกจุดหมายไม่ได้ คงจะหลงทางเหมือนเดิม มีแต่ความกว้าง ๆ ลอย ๆ ไม่มีการใส่ตัวชี้วัด แม้จะมีระยะเวลา 4 เดือน
เราไม่ได้คาดหวังกับรัฐบาลนี้มากขนาดนั้น ว่าจะต้องมีนโยบายในการแก้ไขปัญหา และไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ เพราะตนเองแทบไม่ได้เปิดดูเลยว่าพรรคภูมิใจไทยได้หาเสียงอะไรไว้ เพราะระยะเวลาของรัฐบาลมันสั้น และเป็นเหตุเป็นผลว่า ทำไมถึงเอานโยบายที่เคยหาเสียงไว้มาทำไม่ได้ และใส่คำเตือนไว้แล้วว่าด้วยระยะเวลาที่สั้น และงบประมาณที่ไม่ได้เป็นคนจัดทำ ดังนั้น นโยบายสำหรับรัฐบาลนี้มีข้อจำกัดทั้งในมิติระยะเวลา และงบประมาณแน่ ๆ แต่สิ่งที่เราคาดหวังคือการบริหารจัดการนี้ไปแบบประคับประคอง จนถึงการเลือกตั้ง เน้นแก้ไขปัญหาเร่งด่วน เฉพาะจุด เฉพาะหน้า และจะต้องไม่ตัดสินใจทำอะไรที่จะเกิดความเสียหายแบบที่จะแก้ไขอีกไม่ได้ในอนาคต รวมถึงต้องไม่ใช้โอกาสในในการหากินจากภาษีของประชาชน
นางสาวศิริกัญญา กล่าวอีกว่า นโยบายเหล่านี้จึงเป็นนโยบายเร่งด่วน สิ่งที่เราคาดหวังว่าจะเห็นความชัดเจน จึงไม่ใช่แค่ทำอะไรทำอย่างไร แต่จะต้องทำอย่างไรถึงจะสำเร็จภายใน 4 เดือนด้วย ขอบเขตงานต้องชัดมาก ไม่เช่นนั้น จะเสร็จแค่แผนงาน ที่สุดท้ายต้องรอให้รัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มมาปฏิบัติต่อ ซึ่งก็อาจเป็นความสูญเปล่า ถึงจะคาดหวังน้อยขนาดนี้ ก็ยังคงผิดหวัง เพราะคำแถลงฉบับนี้ไม่ได้ช่วยสร้างความกระจ่างชัดเจนแต่สร้างคำถามตามมา
นโยบายในด้านเศรษฐกิจ ใส่มาว่าอยากทำอะไรซึ่งมีแต่ What แต่ไม่มี How ว่าจะทำอย่างไร จะทำให้เสร็จภายใน 4 เดือน ไม่มีการจัดลำดับความสำคัญ รัฐมนตรีที่มาร่วม แม้จะเป็นคนนอก หรือนักธุรกิจก็อาจจะยังเร็วเกินไป อาจจะยังคิดไม่ทัน ยังไม่ตกผลึก หรือว่าจะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในเวลา 4 เดือนด้วยวิธีการอย่างไร
นางสาวศิริกัญญา ยกตัวอย่าง การแก้ไขปัญหาหนี้สินรายบุคคลในระบบรายรับไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งลูกหนี้รายบุคคลมีประมาณ 3,000,000 กว่าบัญชี ก็ไม่แน่ใจว่าจะทำกี่ราย จะมีการซื้อหนี้ หรือปรับโครงสร้างหนี้ ไม่มีรายละเอียด และไม่มีรายละเอียดจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังนั้น เราได้อะไรจากคำแถลงนโยบายนี้
ส่วนการเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs ก็ไม่มี เพราะว่าจะทำกี่ราย แล้วสรุปจะทำอะไรกันแน่ และราคาสินค้าเกษตรที่บอกว่าจะทำให้อยู่ในระดับเหมาะสม จะทำอย่างไร จะอุดหนุน หรือจะบริหารอุปสงค์อุปทาน ซึ่งอ่านแล้วตั้งคำถามว่าเร่งด่วนอย่างไร
นโยบายในหมวดอื่นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เช่น การเสนอร่างกฎหมายระเบียบราชการทันสมัย ไม่แน่ใจว่าใช่ร่างเดียวที่เคยเปิดฟังความคิดเห็นหรือไม่ และจะพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือนใช่หรือไม่ซึ่งในแต่ละประเด็นมีข้อถกเถียงทั้งนั้น
โครงการคนละครึ่ง และนโยบายเพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อย โดยโครงการคนละครึ่ง คิดว่าไม่มีใครไม่เห็นด้วย แต่ก็แปลกใจเล็กน้อยว่าคนที่ชอบมาให้รายละเอียดเรื่องนี้ ไม่ใช่รองนายกฯ หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่เป็นรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แต่ก็ชวนให้คิดว่าโครงการนี้ เป็นโครงการด้านการเมือง หรือด้านเศรษฐกิจกันแน่ รวมถึงมีการประกาศว่าโครงการคนละครึ่งจะเป็นแค่เฟสแรก ซึ่งใช้งบประมาณ 66,400 ล้านบาท ซึ่งจะใช้งบกลางจาก ปี 68 ซึ่งยังเหลือเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินจาก และงบกระตุ้นเศรษฐกิจ เอามารวมกัน และเติมเงินใส่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะต้องอนุมัติให้ทันภายในวันที่ 30 ก.ย. ก็ว่าทำไมเร่งเราจังเลย เพราะต้องเร่งอนุมัติงบประมาณดังกล่าว ซึ่งจะอนุมัติทั้ง 63,000 ล้านบาท และจะมีการประชุมครม. ต่อ ต้องบอกว่ารีบร้อนมาก
นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า ตนเองคิดว่ามีข้อน่าแปลกใจอยู่ในสมัยรัฐบาลเพื่อไทย ที่อนุมัติกระตุ้นเศรษฐกิจไม่หมด ก็ยังทวงถามว่าจะยังมีโครงการอื่นกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งงบ ปี 68 เราต้องกู้งบขาดดุล
ส่วนที่เหลือจะใช้งบกลางปี 69 บวกกับงบกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งแค่เฟสแรกใช้เงินไปแล้ว 1 ใน 3 และยังมีนโยบายอื่น ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ดังนั้น จะไม่เหลือเงินสำรองจ่ายไว้ให้กับรัฐบาลหน้าเลยใช่หรือไม่ การรีบอนุมัติงบแบบนี้ ยิ่งนั่งเคลือบแคลง
โครงการคนละครึ่ง ตนเองไม่ติดแม้ว่าจะไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจมากเท่าไหร่ หากรัฐบาลอยากกระตุ้นยอดขายให้กับร้านเล็กรายย่อย ก็สามารถทำได้พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี และควรทำ แต่หากต้องการให้มันเกินตู้เศรษฐกิจ อาจต้องปรับปรุงเงื่อนไข เช่น กำหนดการใช้จ่ายขั้นต่ำว่าต้องใช้จ่าย มากกว่า 200 บาทต่อวันขึ้นไป และสิทธิ์หมดอายุวันต่อวัน เพื่อให้ใช้สิทธิ์เร็วขึ้น แต่ก็เสียดายที่ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนเงื่อนไข และต้องลุ้นมติ ครม. กันอีกครั้ง แต่เท่าที่ฟังข้อเสนอเหล่านี้ก็มาจากคนที่เป็นทีมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย
นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า หากถามว่าลดค่าครองชีพได้หรือไม่ ก็ลดได้ ส่วนบัตรคนจน ก็ลดได้ แต่เพิ่งแจกไปเมื่อปีที่แล้วสำหรับเงิน 10,000 บาท ซึ่งการจ่ายเงินบัตรคนจนไม่ได้ช่วย SMEs แต่ทั้งสองโครงการ สามารถซื้อเสียงล่วงหน้าได้ และที่ผ่านมาก็ทำในช่วงโควิด และหลายรอบมีเงินเยียวยามากกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นการแจกเงินรับเพื่อหาเสียงล่วงหน้า
และที่ต้องกังวลกับงบปี 68 ทั้งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยอยู่ในหน่วยงานจัดเก็บโดยผลงานจัดเก็บ 11 เดือน ปี 68 รายได้รับตรงเป้าไป 34,000 ล้านบาท และ 3 กรมจัดเก็บตกเป้ารวมกัน 100,000 ล้านบาท แต่มีรัฐวิสาหกิจ และหน่วยราชการอื่นมาช่วยแบก เมื่อเก็บได้น้อย ก็ควรใช้น้อย ไม่ใช่ถลุงจนบาทสุดท้ายแบบนี้
ดังนั้น ขอถามรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่ามีการวิเคราะห์ดีแล้วใช่หรือไม่ วินัยการคลังที่บอกจะรักษา การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ขณะนี้ยังแก้ไขทันขอให้ยังคงความกล้าหาญในฐานะคนนอกที่จะเตือนฝ่ายการเมือง ให้เตือนนายกรัฐมนตรีบ้าง
“รัฐบาลนี้แม้จะได้อยู่แค่ 4 เดือน แต่ต้องทำการตัดสินใจเรื่องสำคัญปลายปีนี้ คือต้องเป็นผู้กำหนดกรอบงบประมาณปี 70 และมอบนโยบายงบประมาณ และสิ้น 69 เพดานหนี้สาธารณะอยู่ที่ 69% ดังนั้น จะกู้เพิ่มได้เพียงแค่ 2.1 แสนล้านบาท รัฐบาลนี้ จะต้องเป็นผู้ขยายเพดานหนี้สาธารณะ และเพื่อรักษาภาพลักษณ์การคลังของประเทศ จะต้องนำเสนอแผนการจัดเก็บรายได้ใหม่ให้กับประเทศ ต้องทำควบคู่กันไป เพราะบริษัทจัดอันดับเครดิตเรตติ้งจับตาเราเหลือเกิน ว่าเราจะการจัดการปัญหาวิกฤติการคลังอย่างไร” นางสาวศิริกัญญา กล่าว
นางสาวศิริกัญญา ยังขอถามว่า ถ้าทำแผนการจัดเก็บรายได้แผนการปฏิรูปภาษี เกรงว่าจะเป็นแผนที่นำมาใช้บังคับกับรัฐบาลหน้า และวินัยการคลัง มีไว้ให้รัฐบาลต่อไปรักษา รัฐบาลนี้ขอใช้ก่อน ดังนั้น หากฝ่ายการเมืองยังคงเร่งรีบ ใช้เงินงบประมาณทุกบาททุกสตางค์แบบนี้ เพื่อคะแนนนิยมแล้วรัฐมนตรีคนนอกเข้าไปนั่งนิ่ง ๆ ไม่หือไม่อือ ยอมให้ทำอะไรก็ได้ จะมีประโยชน์อะไร ที่เรามีรัฐมนตรีคนนอก โปรไฟล์ดี ๆ มาดูด้านเศรษฐกิจ ด้านการคลัง แถมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยังพูดเอาเท่ห์เอาหล่อ ว่าอย่าเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีนำเข้าทองคำ เรามีประสบการณ์จากอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก่อนหน้า ที่พูดเรื่องการเพิ่มภาษีมูบค่าเพิ่ม 15% โดยไม่ระมัดระวัง และเกิดกระแสตีกลับ จนต้องพับโครงการ
“4 เดือนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ได้ไม่มีใครโทษ ไม่มีใครว่า แต่ขอว่าอย่าสร้างความเสียหายที่เรากลับไปแก้ไขไม่ได้ และจะไม่สามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นได้อีกในอนาคต” นางสาวศิริกัญญา กล่าวทิ้งท้าย












