POLITICS

‘เลขา กกต.’ ไม่รู้ ‘พิธา’ แจงปมถือหุ้นไอทีวี โยนเป็นเรื่องของคณะกรรมการไต่สวน

แจง มีความสลับซ้อนทางกฎหมาย สามารถดำเนินการได้หลายวิธีตามห้วงเวลา สถานะ วิธีการ และการวินิจฉัย

วันนี้ (29 มิ.ย.66) นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าเรื่องนี้มีความสลับซ้อนทางกฎหมาย สืบเนื่องมาจากคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยสามารถดำเนินการได้หลายวิธี ตามห้วงเวลา สถานะ วิธีการ และการวินิจฉัย

เงื่อนไขแรก ก่อนการเลือกตั้ง คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเป็นเรื่องของผู้สมัคร จะต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยจะเชิญผู้มีลักษณะต้องห้ามหรือขาดคุณสมบัติมาชี้แจงหรือไม่มาชี้แจงก็ได้ ก่อนส่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัย โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีทั้งหมด 37 คดี

เงื่อนไขที่สอง หลังการเลือกตั้งแต่ยังไม่ได้ประกาศรับรอง ส.ส. หากพบขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม คณะกรรมการสืบสวนไต่สวนจะดำเนินการตามมาตราร 151 ซึ่งเป็นการดำเนินคดีอาญา และเป็นอำนาจของคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนที่จะเชิญนายพิธามาให้ข้อมูล ตามระเบียบ ซึ่งส่วนตัวยังไม่ได้รับรายงานเพราะเป็นความลับของคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน สำนักงาน กกต. ไม่อาจแทรกแซงได้ โดยกรอบระยะเวลาการไต่สวน 20 วัน จะหมดลงในวันที่ 3 ก.ค.นี้ ยังไม่มีการขอขยายระยะเวลาไต่สวนแต่อย่างใด

ส่วนหลังประกาศรับรอง ส.ส.จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ โดยมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย จะเชิญหรือไม่เชิญผู้ถูกกล่าวหาก็ได้ ซึ่งขณะนี้มีผู้ร้องแล้วหลายราย แต่ต้องมีหลักฐานเพียงพอให้ กกต.พิจารณาด้วย

เมื่อถามว่าการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 82 จะต้องยื่น ก่อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายแสวง ระบุว่า กกต.ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐาน และมีความเห็นก่อน ส่วนจะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนโหวตเลือกนายกฯ ไม่เป็นประเด็นที่ กกต.จะมาพิจารณา

ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติให้สอบถามไปยังอัยการสูงสุดว่าจะรับหรือไม่รับคำร้อง กรณีนายพิธาและพรรคก้าวไกล หาเสียงแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จะมีผลมาถึง กกต.หรือไม่ นายแสวง อ้างอิงตามกฎหมายพรรคการเมือง เราจะพิจารณาว่าการกระทำนั้นมีอำนาจให้กระทำหรือไม่ และกระทำตามขั้นตอนหรือไม่ แต่หากผู้ร้องเห็นว่าการกระทำดังกล่าวล้มล้างระบอบการปกครอ งจะต้องไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49

Related Posts

Send this to a friend