POLITICS

‘อังคณา’ ห่วงชาวอุยกูร์ถูกผลักดันกลับจีน พร้อมหารือรองนายกฯ ‘ภูมิธรรม’ หาทางออก

‘อังคณา’ ห่วงชาวอุยกูร์ถูกผลักดันกลับจีน เสี่ยงเผชิญอันตราย ร้องเปิดทางผู้เชี่ยวชาญอิสระเข้าเยี่ยมผู้ต้องกัก ยันประเทศไทยจะไม่ละเมิดพันธะกรณีระหว่างประเทศ พร้อมหารือรองนายกฯ ‘ภูมิธรรม’ หาทางออก

วันนี้ (29 ม.ค. 68) นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา แถลงถึงกรณีชาวอุยกูร์ที่เป็นมุสลิมกลุ่มน้อยในประเทศจีนอาจถูกผลักดันกลับประเทศต้นทาง หลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะเผชิญอันตรายถ้าถูกส่งกลับ เนื่องจากปี 2558 ประเทศไทยเคยส่งชาวอุยกูร์จำนวน 109 คนกลับประเทศจีนมาแล้ว ซึ่งในวันนี้ญาติพี่น้องพวกเขายังยืนยันว่าไม่ทราบชะตากรรมของทั้ง 109 คนที่ถูกส่งตัวกลับ

โดยเมือวันที่ 28 มกราคม 2568 คณะกรรมาธิการ หรือ กมธ. ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม. กระทรวงการต่างประเทศกรมเอเชียตะวันออก สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สมช. รวมถึงนักสิทธิมนุษยชนและผู้ร้องเรียนมาร่วมกันให้ข้อมูล สิ่งที่ กมธ. พยายามทำมาตลอดภายในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่มีข่าวการผลักดันชาวอุยกูร์กลับประเทศคือส่งหนังสือถึง สตม. 3 ฉบับ เพื่อขอเข้าเยี่ยมชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ เนื่องจากได้รับทราบว่ามีคนกำลังอดอาหารประท้วง แต่ สตม. ไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม

จากการที่ สตม. และสภาความมั่นคงแห่งชาติได้ชี้แจงว่าที่ไม่ให้เข้าเยี่ยมเนื่องจากมองว่าวุฒิสภาหรือวุฒิสมาชิกเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงได้ชี้แจงไปว่าวุฒิสภาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองและ กมธ. ก็ทำหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว กมธ. ในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญและเป็นอิสระก็ควรจะได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมคนที่อาจจะถูกละเมิดสิทธิ์

นางอังคณา กล่าวว่านอกจากนั้นยังมีข้อมูลที่น่าสนใจคือ สตม. แจ้งว่าตอนนี้มีผู้ต้องกักอยู่ในห้องกักทั้งสิ้นจำนวน 39 คน อยู่ที่โรงพยาบาล 1 คน เป็นผู้ป่วยหนักติดเตียงและมีแผลกดทับ ปีที่แล้วมีผู้เสียชีวิตและมี 1 คนอดอาหารประท้วง ซึ่ง กมธ. แสดงความห่วงใยเนื่องจากห้องกักอาจจะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญที่จะดูแลผู้ที่อดอาหารเป็นระยะเวลานาน และการกลับมาเริ่มทานอาหารใหม่อาจส่งผลต่อสุขภาพเหมือนกรณีของนางสาวเนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง ซึ่งได้มีการแนะนำว่า ควรที่จะให้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ หรือ ICRC เข้าเยี่ยมและให้คำแนะนำ

ในกรณีของการส่งกลับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อาทิ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. และ กระทรวงการต่างประเทศ หรือ กต. ก็ยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่ละเมิดพันธะกรณีระหว่างประเทศในเรื่องของการรับประกันว่าจะไม่มีการผลักดันผู้ลี้ภัยหรือผู้แสวงหาที่พักพิงกลับไปเผชิญอันตราย ซึ่งเมื่อปีที่แล้วคณะผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติได้มีหนังสือถึงประเทศไทย เนื่องจากกังวลว่าผู้ต้องขังชาวอุยกูร์เหล่านี้กำลังถูกควบคุมตัวโดยพละการและกังวลในเรื่องของการส่งกลับ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR มีแถลงการณ์เรื่องการอดอาหารและข้อกังวลเรื่องการผลักดันสู่อันตราย

“แม้ว่าคนกลุ่มนี้อาจถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด แต่ถ้าหากพวกเขากลับประเทศต้นทางแล้วเขาจะได้รับอันตราย ประเทศไทยก็ไม่สามารถที่จะส่งกลับได้ไม่ว่าจะกรณีใด” นางอังคณา กล่าว พร้อมย้ำว่าสิ่งที่กังวลคือการไม่อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญอิสระเข้าเยี่ยมซึ่งในรายงานของผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติได้เรียกร้องให้ประเทศไทยตรวจสอบศพของผู้เสียชีวิตให้เป็นไปตามหลักสากลคือให้เป็นไปตามพิธีสารมินนิโซตาเพราะเป็นการเสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัว

นางอังคณา กล่าวว่า กมธ. ขอบคุณหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยที่ยืนยันว่าจะไม่ละเมิดพันธะกรณีระหว่างประเทศในการผลักดันชาวอุยกูร์กลับประเทศ โดยยึดหลักการตามอนุสัญญาต่อต้านการอุ้มหายที่ไทยเพิ่งให้สัตยาบัน ซึ่งระบุชัดว่าห้ามส่งกลับไปสู่ความเสี่ยงอันตราย อย่างไรก็ตาม กมธ. ยังคงกังวลเรื่องการไม่อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญอิสระเข้าเยี่ยมผู้ต้องกัก โดยได้เสนอตัวเข้าตรวจสอบ ขณะที่ สมช. แนะนำให้ กมธ. หารือกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่ง กมธ. ยินดีที่จะเข้าพบเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ในช่วงท้าย นางอังคณา กล่าวขอบคุณหน่วยงานด้านความมั่นคงต่าง ๆ ในประเทศไทยที่ยังยืนยันว่าจะไม่ผลักดันคนกลุ่มนี้กลับ และตั้งข้อสังเกตว่าผู้ต้องหาที่อยู่ในห้องกักส่วนตัวคนที่อยู่นานที่สุดอยู่นานกี่ปี ก็ได้ทราบว่า มาตั้งแต่ปี 2002 ตอนนี้ปี 2025 เป็นเวลา 23 ปีแล้ว กมธ. เองคงจะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการกักตัวผู้ที่เข้าเมืองผิดกฎหมายในห้องกักเพื่อมีข้อเสนอแนะและข้อสังเกตต่อรัฐบาลต่อไป

Related Posts

Send this to a friend