กมธ.กฎหมายฯ เสนอส่งชาวอุยกูร์ 48 คนไปประเทศที่สาม สตม.-กต. ประสานเสียงไม่ส่งกลับจีน
กมธ.กฎหมายฯ เสนอส่งชาวอุยกูร์ 48 คนไปประเทศที่สาม สตม.-กต. ประสานเสียงไม่ส่งกลับจีน เตรียมงบ 27 ล้านรีโนเวทห้องกักบางเขน ยัน นายกฯ เยือนจีนคุยเรื่องคอลเซ็นเตอร์ ส่วนปมอุยกูร์ไม่อยู่ในประเด็นสนทนา
วันนี้ (29 ม.ค. 68) คณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ สส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ เป็นประธาน ประชุมพิจารณาศึกษานโยบายการจัดการ และการปฎิบัติต่อผู้ถูกกักตัวชาวอุยกูร์ ตามหลักสิทธิมนุษยชนและพันธะกรณีระหว่างประเทศ โดยมีผู้แทนจาก สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรรมการสิทธิมนุษยชน และมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม เข้าร่วม
นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ที่ปรึกษาศูนย์ทนายความมุสลิม กล่าวว่าตนเองได้รับข้อร้องเรียนขอให้ช่วยติดตามตรวจสอบพฤติการณ์ที่น่ากังวล ซึ่งมีการแยกกลุ่มผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ มีการถ่ายรูปตัวบุคคลเพื่อแยกกัก จนทำให้ชาวอุยกูร์มีการอดอาหารประท้วงจนเจ็บป่วย จึงร้องต่อคณะกรรมาธิการกฎหมายฯ ให้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการต่อไป
นายสุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ชาวอุยกูร์เสียชีวิตระหว่างถูกกักตัว ซึ่งจากการตรวจสอบแม้จะไม่พบหลักฐานการซ้อมทรมานในห้องกัก แต่เราเห็นว่าการควบคุมตัวเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีขอบเขต ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงมีข้อเสนอให้รัฐบาลส่งชาวอุยกูร์ไปประเทศที่ 3 ตามความสมัครใจ ทั้งนี้ห้องกักที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สวนพลู มีความแออัดต้องย้ายไปยังที่เหมาะสม ผู้ต้องกักจะต้องมีโอกาสติดต่อสื่อสารกับญาติ และให้แพทย์เข้าไปตรวจสุขภาพ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
ข้อเสนอเราได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีแทบทุกข้อ ยกเว้นเรื่องการส่งตัวไปยังประเทศที่ 3 เนื่องจากกำลังหาสถานที่ใหม่ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนเองได้มีโอกาสไปละหมาดกับผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ ซึ่งมีความผ่อนคลายทางจิตใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีบุคคลภายนอกเข้าไปเยี่ยมได้มากขึ้น
สำหรับเรื่องที่หารือกันวันนี้ไม่เกี่ยวกับการส่งตัวกลับจีน แต่การที่เขามาอยู่เป็นสิบปีโดยไม่รู้อนาคต ถูกกักขังเพียงเพราะเข้าเมืองผิดกฎหมาย ญาติพี่น้องที่ถูกแยกออกไป 172 คนที่ตุรกี พวกเขากินข้าวกลืนไม่ลง นอนไม่หลับ เพราะห่วงชาวอุยกูร์ในไทยที่จะถูกส่งกลับไปจีน ซึ่งอาจกระทบต่อครอบครัวของชาวอุยกูร์ทั้งครอบครัวด้วย
รัฐบาลจีนกดขี่ข่มเหงชาวอิสลามในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ และพื้นที่อื่นๆ เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่าหากส่งชาวอุยกูร์กลับไป พวกเขาจะได้รับอันตรายเป็นอย่างมาก ตนเองได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตหลายแห่ง เพื่อขอหารือเข้ามาแสดงความห่วงใย เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.68) มีองค์กรของชาวอุยกูร์จากตุรกี และออสเตรเลียมาพบเพื่อแสดงความห่วงใย เรื่องนี้ประเทศไทยกลายเป็นสปอตไลต์ไปทั่วโลก และกว่า 50 ประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ ขอไทยอย่าส่งชาวอุยร์กลับจีนด้วย
การส่งตัวไปยังประเทศที่ 3 หรือประเทศตุรกี จึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดคือประเทศตุรกี หรือแม้แต่มาเลเซียก็ยินดีที่จะเป็นตัวกลางในการประสานส่งไปยังประเทศที่ 3
“สิ่งที่ครอบครัวชาวอุยกูร์ไม่เข้าใจว่า เหตุใดญาติพี่น้องของเขาที่เข้าเมืองผิดกฎหมายต้องถูกปฏิบัติเหมือนเป็นอาชญากรร้ายแรง ถูกจองจำเป็นเวลา 12 ปี จนชาวอุยกูร์ที่อยู่ในห้องกักอดข้าว บางคนมีไตข้างเดียว ญาติจึงเป็นห่วง ไม่มีใครอยากเห็นศพที่ 3 หรือศพที่ 4 พวกเขามองว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีศีลธรรมเป็นเมืองพุทธ ขอให้ประเทศนี้ปฏิบัติกับผู้ต้องหาด้วยหลักศีลธรรมด้วย” นายสุชาติ กล่าว
นายอิสมาเอล หมุดอะด้ำ สภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านจริยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี กล่าวว่าตนเองเจอกลุ่มอุยกูร์ครั้งแรก 200 ชีวิต ที่ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 จังหวัดสงขลา ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องเผชิญกับบททดสอบทางด้านสุขภาพ ครอบครัวถูกแยกย้ายจากกัน มีคนเสียชีวิต ซึ่งเป็นเด็ก อายุ 7 ขวบ ก่อนชาวอุยกูร์จะถูกย้ายจากสงขลาไปยังที่ต่าง ๆ และท้ายที่สุดมาอยู่ที่ห้องกัก ตม.สวนพลู ซึ่งห้ามเยี่ยม ห้ามติดต่อใด ๆ ทั้งสิ้น เราอยากเห็นความชัดเจนจากภาครัฐว่าจะจัดการกับชาวอุยกูร์อย่างไร เพราะที่ผ่านมาเราพยายามเข้าไปไกล่เกลี่ย แต่ก็ไม่เป็นไปตามข้อตกลง
นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบันรัฐบาลจีนรื้ออัลกุรอานและภาษาอาหรับออกทั้งหมด ซึ่งหมายถึงการทำลายวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ 109 คนที่ไทยส่งกลับจีนเมื่อปี 2558 เป็นบทเรียน เพราะปัจจุบันไม่มีใครรู้ชะตากรรมของพวกเขา เชื่อว่าถูกฆ่าตายไปแล้วทั้งหมด ซึ่งแถลงการณ์จาก 50 ประเทศยืนยันว่าคนมุสลิมอุยกูร์ในประเทศจีน ถูกทำร้ายและเผชิญอยู่ในอันตราย
ด้าน นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ กล่าวในที่ประชุมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องมีการพูดคุยกัน ตนเองสำนึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวอุยกูร์จะต้องได้รับความคุ้มครอง และได้รับความเคารพ แต่ตนเองเกิดข้อกังวลหลังการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ประกาศว่ายกเลิกช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ของนานาประเทศทั่วโลก รวมทั้งการส่งตัวผู้ลี้ภัยไปยังประเทศที่ 3
ชาวอุยกูร์ 48 คน ไม่อยากกลับประเทศต้นทาง การวิพากษ์วิจารณ์ประเทศจีนในลักษณะเชิงลึกว่าทำเหมาะสมหรือ ถือเป็นเรื่องภายในบ้านเขา ส่วนข้อกังวลที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ในเดือน ก.พ.นี้ อาจมีการพูดคุยเรื่องชาวอุยกูร์ในไทยนั้น ตนเองก็ไม่ทราบ แต่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องอยากส่งชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่ 3 แต่ประเทศที่ 3 ก็มีข้อจำกัดว่าจะรับหรือไม่ มันปนกันไปกันมาอย่างนี้ ไป ๆ มา ๆ ตนเองคิดว่านโยบายจะออกมาดีแค่ไหน ถ้าเงินช่วยเหลือที่ต่างประเทศมีให้เราจะน้อยลง เราคงเป็นนักบุญไส้แห้ง
นายสรพงศ์ ศรียานงค์ ที่ปรึกษาด้านการประสานกิจการความมั่นคง รักษาการแทนรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวถึงหลักการดูแลกลุ่มผู้ลี้ภัยว่า ไทยยึดหลักความสมดุลระหว่างความมั่นคง สิทธิมนุษยชน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งต้องสอดคล้องกับพันธะกรณีระหว่างประเทศที่เราเป็นภาคี พร้อมทั้งดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 สำหรับชาวอุยกูร์ที่หลบหนีเข้าเมืองเราก็ยึดหลักนี้ ดูแลเท่าเทียมกันทุกกลุ่ม พยายามผ่อนคลายมาตรการให้สอดคล้องกับวิถีของพวกเขา ทั้งการปฎิบัติศาสนกิจ การรวมกลุ่มทำกิจกรรม การบริการอาหาร และการให้บริการด้านการแพทย์ ความเป็นอยู่น่าจะขยับขยายได้ดีขึ้น ที่บอกว่าที่ผ่านมาไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ต่อไปนี้จะได้เห็น
ทางเลือกประเทศที่ 3 อยู่ที่การตกลงซึ่งต้องคำนึงตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พร้อมยืนยันว่ายังไม่มีนโยบายที่จะส่งชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน ส่วนสาเหตุที่ยังไม่ส่งไปประเทศที่ 3 เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลกระทบ และเราต้องมีการพูดคุยกับประเทศดังกล่าวว่ายินยอมรับผู้ลี้ภัยหรือไม่
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ กล่าวว่าเสียใจที่สุดที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่อยู่ พูดให้ตายแต่ฝ่ายรัฐบาลไม่มี ชาวอุยกูร์ยอมตายในห้องกับดีกว่ากลับไปตายที่ประเทศจีน การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดมี 3 ทางคือ การกลับมาตุภูมิโดยสมัครใจ การเดินทางกลับไปยังประเทศที่ 3 และการอยู่ผสมกลมกลืนในประเทศไทย ซึ่งฝ่ายบริหารจะต้องกล้าตัดสินใจ
หากถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงไม่ได้อะไร รัฐบาลและนายกฯ จึงต้องกล้าตัดสินใจ ไม่เช่นนั้นคนพวกนี้ก็จะถูกกักอยู่ในห้องกักต่อไปเรื่อย ๆ เราจะพิพากษาให้เขาเสียชีวิตในห้องกักหรือ ณ วันนี้ รัฐบาลยังไม่มีนโยบายการส่งกลับ แต่การหารือกับทางการจีนอย่างเป็นทางการที่จะมีขึ้นในเดือน ก.พ.นี้ นอกจากจะมีเรื่องความสัมพันธ์ การค้าและการลงทุนแล้ว คาดว่าจะมีการพูดคุยเรื่องชาวอุยกูร์ในไทยด้วย
พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รองผู้บังคับการกองกำกับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ยืนยันว่าที่ผ่านมาดูแลชาวอุยกูร์อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ห้องกัก ตม.ใช้มาแล้ว50 ปี แต่ยังสะอาดและถูกสุขลักษณะ ข้อแนะนำอะไรที่ดีเราพร้อมทำ ส่วนข่าวลือ ทั้งทางบวกและทางลบ จากข้างในไปข้างนอก จากข้างนอกสู่ข้างใน กลุ่มชาวอุยกูร์ได้รับข่าวสารทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้นคือปฏิกิริยาต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ เราจึงต้องทำความเข้าใจกับเขา และให้คนจากสำนักงานจุฬาราชมนตรีเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ย
พ.ต.อ.สุรศักดิ์ ยืนยันว่าไม่มีการกรอกแบบฟอร์มความสมัครใจกับประเทศต้นทาง และการถ่ายรูปเพื่อใช้ระบบไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) ก็ทำกับทุกคนในห้องกัก แทนระบบเดิมที่จะไม่ได้ใช้แล้ว ย้ำว่ายังไม่มีนโยบายผลักดันส่งกลับในตอนนี้ และไม่มีการแยกกัก โดยห้องกักหนึ่งห้อง จะอยู่ได้ 40-60 คน เรากระจายกลุ่มอุยกูร์ไปอยู่ตามห้องต่าง ๆ ที่มีคนต่างชาติอยู่ด้วย ซึ่งยังรวมกลุ่มปกติ
ส่วนความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เราดูแลเรื่องอาหารการกิน จัดอาหารฮาลาลให้โดยเฉพาะ โดยล่าสุดได้รับงบประมาณ 27 ล้านบาท ในการปรับปรุงห้องพักบางเขนที่ใช้มานาน 30 กว่าปี เพื่อให้ชาวอุยกูร์ไปอยู่ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คาดใช้เวลาปรับปรุงไม่เกิน 6 เดือน
นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่าไทยไม่มีนโยบายส่งชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศต้นทาง และยังยึดหลักกฏหมายระหว่างประเทศ ส่วนการเยือนจีนของนายกฯ จะหารือประเด็นสำคัญคือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งจะมีการพูดคุยในรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ส่วนประเด็นชาวอุยกูร์ ไม่ได้อยู่ในประเด็นที่จะสนทนา
ในช่วงท้ายนายกัณวีร์ เสนอให้คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอแนะในการให้ชาวอุยกูร์ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ยังประเทศที่ 3 หรือประเทศตุรกี ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดยรัฐควรที่จะมีความกล้าหาญในเวทีระหว่างประเทศด้วย ทั้งนี้การส่งชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ จะต้องเริ่มต้นจากการพิจารณาสถานะผู้ลี้ภัยซึ่งประเทศตุรกีมีข้อยกเว้น กล่าวคือชาวอุยกูร์สามารถตั้งถิ่นฐานได้เลย หากกระทรวงการต่างประเทศประสาน












