POLITICS

‘อนุทิน’ ถกหน่วยงานแก้ปัญหาฝุ่น – หมอกควัน

ออกไอเดียมอบเงินช่วยเหลือให้หยุดเผา ขู่ ควํ่าบาตรสินค้าเกษตรนําเข้าที่มาจากการเผา

วันนี้ (29 ม.ค. 68) เวลา 10:30 น. ที่กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์และการแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) โดยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) พร้อมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายกลุ่ม ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงการติดตามการแก้ไขปัญหาของผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่

อีกทั้ง ยังมีการติดตามการแก้ไขปัญหาลดการเผา โดยการจัดหาพื้นที่ฝั่งกลบซากพืชให้กับเกษตรกรในจังหวัดต่างๆ และการหามาตรการลด ฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงเทพมหานคร ผ่านมาตรการด้านการจราจร ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก และมาตรการป้องกันในระยะสั้น เช่น การจัดการให้ประชาชนทำงานที่บ้าน ปิดโรงเรียนเด็กเล็กในช่วงที่ค่าฝุ่นอยู่ในระดับวิกฤต

นอกจากนี้ จะมีการยกระดับปฏิบัติการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในพื้นที่ที่มีจุดความร้อนสูง (HotSpot) ในจังหวัดกาญจนบุรี ชัยภูมิ ลพบุรี ตาก และนครราชสีมา โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชาในศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อดูแลสถานการณ์ในพื้นที่ให้ดีขึ้น เข้มงวดตรวจการเผาในพื้นที่ จัดหาแหล่งฝังกลบให้กับเกษตรกร

ขณะที่ นายอนุทิน กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงเป็นใยต่อสถานการณ์นี้อย่างมากนี้อย่างมาก ซึ่งได้ติดตามและประสานงาน ประชุม และเรียกประชุมหารือกับตนตลอดเวลา ในช่วงที่นายกเดินทางไปต่างประเทศ และตนได้รายงานไปว่า เราทุกคนมีความพร้อมในการรับมือป้องกันและแก้ไข

รวมทั้ง นายกฯ ยังมีข้อสั่งการ ให้ตนแต่งตั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นที่ปรึกษา บกปภ.ช.

นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) ที่ผ่านมา ตนและคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มีจุดความร้อนเยอะที่สุด เพราะมีการเผาพืชผลการเกษตรมากที่สุด ซึ่งข้าราชการจังหวัดทั้ง 17 ในภาคเหนือ ได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ห้ามเขา และมีการสั่งการยกระดับทุกมาตรการ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจังหวัดใช้ระบบเบ็ดเสร็จ(single command) เพื่อบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานทุกภาคส่วน ตนจึงขอความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน การทำงานร่วมกันครั้งนี้ เป็นรูปแบบตัวแทนรัฐบาล ไม่ใช่กระทรวงมหาดไทยไปสั่งงานกระทรวงใด แต่ทำภาจใต้พ.ร.บ.ป้องกันสาธาณภัยแห่งชาติ และขอให้นำความไปแจ้ง เพื่อให้หน่วยงานให้ความร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัด

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า หากเราร่วมมือกันเต็มที่ก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด เพราะปัญหามาจากการเผา หากลดการเผาได้ มลภาวะทางอากาศก็จะลดลง จึงไม่ต้องกังวลว่าเพื่อนบ้านจะทำอย่างไร เราต้องจัดการในบ้านของเราให้เรียบร้อยก่อน ถ้าในบ้านเราเรียบร้อยแล้วแล้วยังมีเหตุ มาจากเพื่อนบ้าน ก็จะมีความกดดันมายังรัฐบาล​รัฐบาลก็จะต้องเร่งไปเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน ในการคว้ำบาตร ไม่อุดหนุนสินค้าทางการเกษตร หากมาจากการเผาวัชพืชเหล่านี้ และก่อให้เกิดมลพิษข้ามมายังประเทศเรา สิ่งสำคัญคือเราต้องดำเนินการแก้ไขในบ้านของเราให้เรียบร้อยเสียก่อน

นายอนุทิน​ กล่าวด้วยว่า​ ที่อำเภอแม่แจ่ม เพียงอำเภอเดียวอาจทำให้หมอกควันปกคลุมทั้งประเทศไม่ใช่แค่เชียงใหม่อย่างเดียว เพราะมีซังข้าวโพด ถึง 700,000 กิโลกรัม​ ทำให้เกิดความเสียหายมหาศาล ซึ่งต้องดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวด เช่นที่เชียงใหม่ที่ทำคือให้มีการฝังกลบหรือแปรสภาพเศษซังข้าวโพด ซึ่งรัฐต้องสนับสนุน เครื่องจักรเข้าไป​ หรือนำไปเป็นเชื้อเพลิงไบโอเพาเวอร์ เอาไปเป็นไอน้ำความร้อนฝ่ายผลิตไฟฟ้า เอาไปแปรสภาพเป็นอาหารสัตว์ หรือทำปุ๋ยชีวภาพ​ แต่ภาครัฐต้องช่วย

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า เราเจอภัยพิบัติมาโดยตลอด ต้นปีภาคเหนือไตรมาส 3 ภาคกลางไตรมาส 4 ภาคใต้ เราใช้เงินเกือบ 20,000 ล้านบาท เป็นค่าชดเชยทดแทนความเดือดร้อน หลังคาเรือนละ 9,000 บาท ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้ก็ใกล้เคียงกัน น้ำลดหรือเพิ่มเกิน 3 วัน ชาวบ้านได้เงิน แต่กรณีหมอกควันยังไม่เกิดขึ้น เราจะเอาเงินไปให้ชาวบ้านก่อนไม่ได้ ซึ่งต้องเกิดการเผา และเกิดมลพิษควันดำก่อน​ เพราะกว่าจะเอาเงินออกมาได้ความเสียหาย ค่ามลพิษต้องเกิน 150 ไมโครกรัม หากไปถึงจุดนั้นประเทศไทยมืดมิดไปทั้งประเทศ ถึงจะนำเงินไปใช้ได้ จึงขอข้อแนะนำช่วยกันคิดการสนับสนุนของแต่ละจังหวัดในการผลักดันให้มีงบช่วยเหลือชาวบ้านก่อน เพื่อที่จะให้หยุดเผา เป็นจุดที่ต้องวางมาตรการ​ มันดูเหมือนภัยพิบัติแต่การช่วยเหลือแตกต่างกัน

ในส่วนนี้ขอความร่วมมือทุกฝ่ายความมั่นคงทหาร ตำรวจ ภาครัฐเกษตรทรัพยากร และหน่วยงานเทคโนโลยีให้ช่วยกัน ส่วนที่บังคับใช้กฎหมายก็ต้องทำอย่างเต็มที่ ไม่ให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมาย และก่อให้เกิดความเดือดร้อน

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat