‘พ.ต.อ.ทวี’ ถก กมธ.นิรโทษกรรมผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายที่ดินและป่าไม้
‘พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง’ ถก กมธ.นิรโทษกรรมผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายที่ดินและป่าไม้ มุ่งช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม คาด เสนอร่างเข้าสภาฯ 12 ธ.ค.
วันนี้ (28 ต.ค. 68) ที่รัฐสภา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เป้าประสงค์คุ้มครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ
พ.ต.อ.ทวี เปิดเผยว่า ช่วงปิดสมัยประชุมรัฐสภา วันที่ 30 ตุลาคม – 12 ธันวาคม 2568 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง มีแผนประชุมรับฟังความเห็นเพิ่มเติมเพื่อให้ร่างกฎหมายฉบับนี้อำนวยความยุติธรรมได้สูงสุด คาดหวังว่าจะสามารถเสนอร่างกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 วันที่ 12 ธันวาคม 2568
พ.ต.อ.ทวี ยืนยันในหลักการให้มีกฎหมายนิรโทษกรรมและล้างมลทินแก่ราษฎรอันเนื่องมาจากการได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามกฎหมาย และนโยบายของรัฐด้านป่าไม้และที่ดิน เกี่ยวข้องกับกรณีประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ทำกินของประชาชน ทั้งที่ประชาชนเหล่านี้เป็นผู้อยู่อาศัยทำกินมาก่อนการประกาศเขตพื้นที่ของรัฐ ส่งผลให้กลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม
สำหรับร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านวาระ 1 จำนวน 2 ร่าง และได้ตั้งคณะกรรมาธิการฯ ผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรม และล้างมลทิน คือ ผู้เสียหาย และผู้ได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดในนโยบายรัฐ และถูกดำเนินคดีใน 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 1 ผู้ที่ได้ครอบครอง และทำประโยชน์ที่ดินภายหลังวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก แต่ได้รับการผ่อนผันตามมาตรการของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2541 เรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าไม้ และมิได้มีการฝ่าฝืนหรือกระทำผิดหลักเกณฑ์ตามมาตรการดังกล่าว
เนื้อหาของมติ ครม.ดังกล่าว คือการเห็นชอบหลักการมาตรการ และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในพื้นที่ป่าไม้ รวมถึงการตรวจสอบราษฎรที่อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และการกำหนดมาตรการจัดการที่ดินตามกลุ่มชั้นลุ่มน้ำ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ราษฎรและป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม
ที่ผ่านมาการรังวัด สำรวจ และจัดทำแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง ทำให้เกิดสภาพการผ่อนผันให้อยู่อาศัยและทำกินมาโดยตลอด เกิดกรณีเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีราษฎรที่แม้จะอยู่อาศัยตามการสำรวจตามมติ ครม. เมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการของศาล ประชาชนจึงต้องตกอยู่ในสถานะผิดกฎหมาย ถูกดำเนินคดี ติดคุก ปรับ และขับไล่ออกจากพื้นที่จำนวนมาก
กลุ่มที่ 2 ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า เป็นผู้ที่ได้ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก ก่อนจะได้รับการคุ้มครองตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 66/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2557 คุ้มครองผู้ยากไร้ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากนโยบายปราบปรามนายทุน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กลับไม่นำนโยบายมาปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ทำให้คนจนผถูกแจ้งความดำเนินคดีในลักษณะคดีมวลชน ตีความการกระทำว่าเป็นนายทุน เนื่องจากเจ้าหน้าที่รวมแปลงให้มีพื้นที่จำนวนมากแล้วแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งปี พ.ศ.2557-2562 เกิดคดีทวงคืนผืนป่า 30,508 คดี มีคนถูกจับกุม 6,824 ราย แต่เป็นกลุ่มนายทุนเพียง 20% หรือ 1,365 ราย อีก 80% หรืออีก 5,459 ราย เป็นชาวบ้านที่ไม่ได้มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างปกติ
กลุ่มที่ 3 ประชาชนได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบจากการกรณีรัฐประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ทำกินของประชาชน ทั้งที่ประชาชนอยู่มาก่อน หรือกลุ่มคืนสิทธิ คืนสถานะให้กับผู้ที่ได้ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินก่อนวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก
ประเทศไทยมีพื้นที่เขตป่าไม้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ 135.41 ล้านไร่ แต่มีสภาพป่าไม้จริงเหลือเพียง 101.78 ล้านไร่ หรือ 31.46% ของพื้นที่ประเทศไทย พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 1,221 แห่ง มีพื้นที่รวม 58.69 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุมเพียง 32.51 ล้านไร่ หรือพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีพื้นที่รวม 41.06 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุมเพียง 33.97 ล้านไร่
ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดินอย่างรุนแรงระดับโลก ข้อมูลจากเอกสารสิทธิโฉนดที่ดินจากกรมที่ดินระบุว่า 99% ของเอกสารสิทธิที่ประชาชนทั่วไปถือครองอยู่ มีพื้นที่ไม่ถึง 50 ไร่ เฉลี่ยรายละ 2-6 ไร่ ส่วนกลุ่มผู้ที่ถือครองที่ดินมากกว่า 200 ไร่ มีไม่ถึง 1% แต่กลับครอบครองพื้นที่รวมมากกว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
กลุ่มผู้ถือครองที่ดินเกิน 1,000 ไร่ มีอยู่เพียง 130 ราย โดยถือครองที่ดินรวมกว่า 2 ล้านไร่ ขณะที่ที่ดินส่วนใหญ่เป็นที่ดินของรัฐที่ประชาชนอาศัยอยู่ และหลายชุมชนอยู่มาก่อนรัฐ สืบทอดการทำกินมาหลายชั่วอายุคน แต่เมื่อรัฐประกาศเขตป่า ประชาชนกลับกลายเป็นผู้บุกรุกในบ้านเกิดตนเอง
คณะกรรมาธิการฯ มีเป้าหมายให้เกิดกระบวนการพิสูจน์สิทธิแก่ประชาชนที่อยู่ทำกินและอาศัยมาก่อนการประกาศเป็นที่ดินของรัฐ โดยจะกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบที่ชัดเจน มีขั้นตอนพิสูจน์สิทธิที่ดินที่เป็นธรรม โปร่งใส มีมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย กำหนดระยะเวลาตรวจสอบที่เหมาะสม ไม่ล่าช้า ประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิม ผู้ยากไร้ แสดงหลักฐานได้เต็มที่
“ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงถือได้ว่าเป็นกฎหมายสำคัญที่จะรับรองหลักการของชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม หรือสิทธิในการดูแลจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นระบบสิทธิชุมชนตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ให้เกิดขึ้นจริง” พ.ต.อ.ทวี กล่าว












