‘อนุทิน’ เผย ผลหารือทวิภาคีนายกฯ กัมพูชา ย้ำต้องทำตาม 4 ข้อตกลง เตรียมกำหนดเส้นตายถอนอาวุธ
วันที่ 28 ต.ค. 68 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยภายหลังการพบหารือทวิภาคีกับ พล.อ. ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า เป็นการพบปะกันครั้งแรกนับตั้งแต่สองผู้นำได้ร่วมลงนามในถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 68
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การหารือทวิภาคีวันนี้ หารือครอบคลุมในเรื่องการติดตามผลการดำเนินการตามเงื่อนไข 4 ข้อ จากถ้อยแถลงร่วมที่มีการลงนาม เพื่อให้ดำเนินการโดยเร็ว ซึ่งการถอนอาวุธหนักทางฝ่ายกัมพูชาได้เริ่มถอนอาวุธหนักตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. ตนจึงได้ย้ำกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่า ขอให้เร่งดำเนินการตามที่ตกลงกันไว้ อย่าให้การลงนามเป็นเพียงสัญลักษณ์ และเมื่อมีการถอนอาวุธตามเงื่อนไขอย่างจริงจัง รวดเร็ว และเป็นรูปธรรมแล้ว ทางฝ่ายไทยก็จะเริ่มดำเนินการในส่วนของกระบวนการคืนตัวทหารกัมพูชาที่อยู่ในการควบคุมของไทย
ในส่วนของการเก็บกวาดทุ่นระเบิดบริเวณชายแดนนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่ฝั่งไทยที่ไทยต้องดำเนินการ ซึ่งก็จะมีการสังเกตการณ์โดยคณะสังเกตการณ์จากอาเซียนด้วย ตนได้แจ้งให้นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต รับทราบแล้วว่า ขอให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่จะมีการดำเนินการโดยเร็วเช่นกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า เรื่องสแกมเมอร์ ไทยมีการดำเนินการร่วมกับกัมพูชามาตลอดอยู่แล้ว แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาได้ทิ้งช่วงไป เนื่องจากเกิดปัญหาระหว่างกัน แต่หลังจากนี้ก็จะกลับมาร่วมมือกันในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกอย่าง ทั้งเรื่องของสแกมออนไลน์ และการหลอกลวงคนไปกักกันทำร้ายด้วย
สำหรับการกำหนดเส้นตายให้กัมพูชาดำเนินการถอนอาวุธนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กำหนดกันแล้ว ถ้ากัมพูชาทำได้วันนี้ ในวันที่ 29 ตุลาคม เราก็จะเริ่มถอนอาวุธออกไปให้มากและเร็วที่สุด ซึ่งผู้ที่กำหนดเส้นตายของไทยน่าจะเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ส่วนของกัมพูชา น่าจะเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งได้พูดคุยกันอยู่แล้ว

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย จะตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาติดตามการดำเนินการตามข้อตกลง 4 ข้อ โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธาน ซึ่งเมื่อเช้านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้โทรมารายงานแล้ว ดังนั้นทุกอย่างได้ดำเนินการไปตามขั้นตอนและเวลาที่ควรจะเป็น และขณะนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยจากการที่มีการพูดคุยกัน ได้ทำความเข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย ว่าตรงไหนที่ยังเป็นข้อสงสัยขอให้กลับไปแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยเร็วที่สุด”
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีมีบทสัมภาษณ์ไปว่า ไทยรุกล้ำกัมพูชานั้น นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ตนไม่ได้บอกว่าไทยรุกล้ำกัมพูชา แต่ขาดไปคำหนึ่งว่า “พื้นที่อ้างสิทธิ์” เมื่อวานตกคำพูดนี้ไป คำว่าพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งก็คือคำที่เป็นคำอย่างเป็นทางการ เมื่อวานนึกไม่ออกคำนี้ เลยบอกว่า ในพื้นที่ตรงนั้นมีคนไทยอยู่และมีคนกัมพูชาอยู่ ถ้าเราตกลงกันได้แล้ว ถ้าเขาอ้างสิทธิของเขาได้ และเรายอมรับได้ เราก็ต้องกลับมาในดินแดนของเรา และเขาก็ต้องกลับไปในดินแดนของเขา
“ผมคิดว่าการดำเนินการในเรื่องนี้ ต้องมีหลักความยุติธรรม ถ้าเราอยู่ในที่ดินของเขาเราก็ต้องกลับมา แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร บางคนก็บอกว่าไม่มีคนอยู่ เป็นที่เกษตรที่ทำนา ถ้าเราไปทำตรงนั้นเป็นพื้นที่อ้างสิทธิอยู่ก็ทำให้ชัดเจนแค่นั้นเอง จริง ๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องท้าย ๆ ด้วยซ้ำถ้าไม่มีเรื่องแรกเรื่องของข้อพิพาทกัน หรือรบกัน เรื่องนี้แทบจะไม่มีใครเคยยกขึ้นมาเลย แต่เมื่อเป็นส่วนหนึ่งแล้วก็ต้องดำเนินการตามข้อตกลงที่เรามีต่อกัน”
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต้องขอความกรุณาว่า การทำงานต้องมีหลาย ๆ เรื่อง และเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกัน ผู้สื่อข่าวถามอะไรที่ตนตอบได้ก็ตอบ ไม่มีอะไรที่ปิดบัง และอยากให้ทุกคนได้รับทราบข้อมูลที่เป็นความจริงจะได้ไม่มีใครมาคาดเดา และพูดออกมาโดยใช้โซเชียลมีเดีย ตนพยายามเปิดเผยกับประชาชนให้ได้มากที่สุด
ส่วนการหารือทวิภาคีมีการคุยเรื่องการเปิดด่านหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่พูดถึงเรื่องที่ซีเรียส เขาก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูด เราก็ไม่ได้เสนอในส่วนนี้ จนกว่าการดำเนินการทั้งหมด จะสิ้นสุดลงและดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อย
“เรายังต้องมีอีกด่านหนึ่งคือการหาวิธีฟื้นฟูความสัมพันธ์ ตอนนี้ไทยเหลือแค่เลขานุการโทประจำกรุงพนมเปญ อยู่ในสถานทูตไทยเท่านั้นเอง หาก 4 ข้อนั้นได้รับการปฏิบัติ ก็จะมาพูดคุยเรื่องความสัมพันธ์อย่างไร เริ่มจากอะไร และเมื่อความสัมพันธ์กลับมาสู่ภาวะปกติ จึงจะไปดำเนินการในเรื่องการเปิดด่าน ดังนั้นทุกคนก็รู้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องการเปิดด่าน ไทยก็ยังเก็บไว้อยู่กับไทย”













