‘พริษฐ์’ มั่นใจหลัง พ.ร.บ. ประชามติมีผลบังคับใช้ การเดินหน้าจัดทำ รธน. – ยุบสภา เป็นไปตาม MOA
เชื่อ ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาล เร่งถกข้อสรุปโมเดล ส.ส.ร. ให้ได้ฉันทามติทุกฝ่าย ห่วงทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งล่วงหน้า เตรียมเชิญ กกต. หารือ
วันนี้ (28 ต.ค. 68) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 156 มาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติปี 2568 มีผลบังคับใช้ ว่า ทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่าทุกอย่างจะดำเนินการตามกรอบ คือการยุบสภาภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 เพื่อนำไปสู่การทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป
นายพริษฐ์ ระบุว่า ซึ่งคำถามการทำประชามติรัฐธรรมนูญจะมี 2 คำถาม ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐสภาจะต้องเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ภายในสิ้นเดือนธันวาคม ในฐานะกรรมาธิการ ตั้งใจจะพิจารณาเดินหน้าให้เร็วที่สุด หากพิจารณาแล้วเสร็จในช่วงปิดสมัยประชุม อาจจะพิจารณาเปิดสมัยประชุมวิสามัญเพื่อพิจารณาในวาระ 2-3 เช่นกัน
ทั้งนี้ ในชั้นกรรมาธิการพยายามนำเนื้อหาที่มีความเห็นต่างหาข้อสรุปเพื่อให้ได้ฉันทามติของทุกฝ่ายให้ได้มากที่สุด เนื่องจากร่างแก้ไขเพิ่มเติมจะผ่านในวาระที่ 3 ได้จะต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา และจะต้องได้เสียงร้อยละ 20% ของฝ่ายค้าน อีกทั้งต้องได้เสียง สว. 1 ใน 3 เห็นชอบด้วย โดยส่วนตัวห่วงเรื่องการทำประชามติ พร้อมกันกับการเลือกตั้งล่วงหน้า เนื่องจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจน
“เรียกได้ว่าต้องเป็นร่างที่ได้รับฉันทามติของทุกฝ่ายระดับหนึ่ง แต่ประเด็นที่เป็นห่วงส่วนตัวคือการทำประชามติการเลือกตั้ง คือการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการออกเสียงประชามติ ไม่แน่ใจว่าการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรี และ กกต. สัปดาห์ที่แล้วมีการพูดคุยเรื่องนี้หรือไม่ แต่ในฐานะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองสภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญ กกต. มาหารือ ความท้าทายตอนนี้คือพระราชบัญญัติประชามติไม่ได้มีการพูดถึงการเลือกตั้งล่วงหน้าภายในราชอาณาจักรอย่างชัดเจน เป้าหมายที่หารือคือทำอย่างไรให้การทำประชามติการเลือกตั้ง หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้งจริงทำอย่างไรให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าสามารถใช้สิทธิ์ออกเสียงประชามติล่วงหน้าได้ด้วยเช่นกัน” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า เนื้อหาโมเดล ส.ส.ร. จะมีการพูดคุยกันในสัปดาห์นี้ของกรรมาธิการ เพราะ 2 ร่างที่รัฐสภารับหลักการมายังมีเนื้อหาแตกต่างกันอยู่ โดยจะมีการประชุมของคณะทำงานชุดย่อยภายใต้กรรมาธิการซึ่งจะประชุมวันนี้ในช่วงบ่าย โดยจะกางเนื้อหาที่แตกต่างกันมาหารือทุกฝ่ายว่าจะมีทางเลือกอย่างไร ก่อนนำเสนอที่ประชุมกรรมาธิการในช่วงปลายสัปดาห์ ยอมรับว่ามีการพูดคุยกันว่าโมเดล ส.ส.ร. ต้องไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาล และเน้นย้ำการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และทำให้กระบวนการจัดทำฉบับใหม่ไม่ผูกขาดกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เมื่อถามว่ามีอดีต สว. ไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ตีความว่าการแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่ทำประชามติก่อน ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ไม่ได้ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ทุกอย่างที่เดินมาทุกฝ่ายในรัฐสภาเห็นตรงกันว่าไม่ได้ขัด แต่ก็เป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะใช้กลไกต่าง ๆ ที่กฎหมายรองรับ แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่ไม่ขัดคำวินิจฉัยแน่นอน
ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันไทม์ไลน์การทำประชามติยังเป็นไปตามเดิมหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า รัฐบาลยังคงยืนยันว่าจะเดินหน้าตามกรอบ ที่จะยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม และเลือกตั้งพร้อมการทำประชามติในช่วงปลายเดือนมีนาคม แต่สิ่งที่ยังไม่ได้รับความชัดเจนคือการทำประชามติเรื่องยกเลิก MOU 43-44 ว่าจะทำทั้งหมดกี่คำถาม และจะแยกคำถามระหว่าง MOU 43-44 หรือไม่ และรัฐบาลจะวางกระบวนการอย่างไร ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อตัดสินใจ และไม่ให้กัมพูชารับรู้ถึงข้อมูลที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการได้เปรียบเสียเปรียบของไทยในเวทีเจรจา และรัฐบาลได้มีการเตรียมแผนรองรับหรือไม่หากมีการทำประชามติ แล้วผลออกมาว่าให้ยกเลิก MOU จะมีกลไกอะไรในระดับทวิภาคีมารองรับหรือไม่
ส่วนการทำประชามติเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เริ่มต้นจากรัฐสภาจะเริ่มได้เมื่อไหร่นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ประชามติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมี 2 คำถาม ถามที่ 2 จะเกิดขึ้นทันทีหลังจากที่รัฐสภามีมติเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่อยู่ในชั้นกรรมาธิการ และยังมีการหารือกันในการทำประชามติครั้งที่ 1 ซึ่งจะต้องเป็นมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือต้องเป็นมติของสภาและส่งไปยัง ครม. หากใช้แค่มติของ ครม. ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ถ้าต้องใช้มติของสภาก็สามารถขอมติในวันเดียวกันกับที่มีการลงมติวาระ 3 ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็ไม่มีอะไรกระทบกับกรอบเวลาที่วางไว้ทั้งหมด
เมื่อถามว่าสถานการณ์การเมืองและบริบทของประเทศไทยในขณะนี้จะเหมาะสมหรือไม่ถ้าจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า นายพริษฐ์ กล่าวว่า เห็นว่ารัฐบาลยังคงมีแผนที่จะเดินหน้าตามกรอบ และการบริหารราชการแผ่นดิน เดินหน้าสู่กรอบเวลาที่วางไว้ รัฐบาลก็ไม่มีท่าทีว่าจะไม่ดำเนินการ ตนเชื่อว่าสามารถเดินหน้าต่อได้ ซึ่งเรื่องกรอบระยะเวลายังไม่มีการหารือเพิ่มเติมกับรัฐบาล












