POLITICS

ม.ศรีปทุม-ดีโหวต เปิดผลโพล พบส่วนใหญ่ เห็นด้วยนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต

วันนี้ (28 ต.ค. 66) มหาวิทยาลัยศรีปทุม ร่วมกับดีโหวต เปิดผลการสำรวจในประเด็น “คุณสนับสนุนให้มีโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทหรือไม่ ?” โดยสำรวจระหว่างวันที่ 15-23 ต.ค. 2566 จากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,158 ตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 49.53 ระบุว่า “สนับสนุน หากสามารถทำได้โดยไม่ต้องกู้เงิน” ร้อยละ 33.86 ระบุว่า “สนับสนุน แม้ต้องกู้เงินมาทำก็ตาม” ร้อยละ 12.09 ระบุว่า “ไม่สนับสนุน ไม่ว่าจะกู้หรือไม่กู้เงินมาทำก็ตาม” โดยเส้นของระดับรายได้ที่มีแนวโน้มสนับสนุนโครงการฯ อยู่ที่ ‘ผู้มีรายได้น้อยกว่า 45,000 บาท’

ทั้งนี้ เมื่อแบ่งผู้สนับสนุน และไม่สนับสนุนโครงการฯ ตามผู้สนับสนุนพรรคต่าง ๆ ซึ่งระบุว่าได้เลือกพรรคดังกล่าวในการเลือกตั้ง 2566 โดยได้ผลดังนี้

1.พรรคก้าวไกล พบว่า 53.32% สนับสนุนหากไม่กู้, 33.90% สนับสนุนแม้ต้องกู้ และ 8.51% ไม่สนับสนุน

2.พรรคเพื่อไทย พบว่า 50.59% สนับสนุนหากไม่กู้, 38.79% สนับสนุนแม้ต้องกู้ และ 7.86% ไม่สนับสนุน

3.พรรคภูมิใจไทย พบว่า 46.28% สนับสนุนหากไม่กู้, 41.45% สนับสนุนแม้ต้องกู้ และ 4.45% ไม่สนับสนุน

4.พรรคพลังประชารัฐ พบว่า 50.17% สนับสนุนหากไม่กู้, 42.10% สนับสนุนแม้ต้องกู้ และ 2.45% ไม่สนับสนุน

5.พรรครวมไทยสร้างชาติ พบว่า 49.66% สนับสนุนหากไม่กู้, 13.48% สนับสนุนแม้ต้องกู้ และ 36.86% ไม่สนับสนุน

6.พรรคประชาธิปัตย์ พบว่า 31.61% สนับสนุนหากไม่กู้, 43.07% สนับสนุนแม้ต้องกู้ และ 21.16% ไม่สนับสนุน

สำหรับคำถามในประเด็น “คุณอยากใช้เงินดิจิทัล 10,000 บาท ทำอะไรมากที่สุด ? ” พบว่า ร้อยละ 56.14 ระบุว่า “ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหาร จ่ายค่าน้ำค่าไฟ”, ร้อยละ 39.32 ระบุว่า “ชำระหนี้”, ร้อยละ 30.75 ระบุว่า “ซื้อของที่อยากได้”, ร้อยละ 23.24 ระบุว่า “ลงทุน หรือสร้างธุรกิจ” และ ร้อยละ 18.91 ระบุว่า “นำไปแลกเป็นเงินสด (แม้จะต้องถูกเก็บค่าแลกก็ตาม)”

คำถามในประเด็น “หากรัฐเปิดให้นำเงิน 10,000 ของคุณไปรวมกับคนอื่น บางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ เพื่อให้ได้ก้อนที่ใหญ่มากขึ้น คุณมีแนวโน้มจะทำหรือไม่ ?” พบว่า ร้อยละ 40.23 ระบุว่า “ทำ จะรวมกับครอบครัว เช่น นำไปสร้างธุรกิจ สร้างบ้าน”, ร้อยละ 21.97 ระบุว่า “ไม่ทำ จะใช้คนเดียว”, ร้อยละ 15.54 ระบุว่า “ทำ จะรวมกันภายในชุมชน เช่น นำไปทำโครงการในชุมชน สร้างวิสาหกิจชุมชน” และ ร้อยละ 14.96 ระบุว่า “ทำ จะรวมกับเพื่อนหรือหุ้นส่วน เช่น นำไปสร้างธุรกิจ”

ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักโพลศรีปทุม-ดีโหวต กล่าวว่า ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นแนวทางที่อาจสามารถลดปริมาณการกู้ได้ เช่น การแบ่งเฟส โดยให้เฟสแรกเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยกว่า 40,000-50,000 บาท เพราะคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะนำเงินไปใช้จ่ายในสิ่งที่ขาด และทำให้เกิดตัวคูณทางเศรษฐกิจก่อนได้ระดับหนึ่ง และเฟสสองให้กลุ่มผู้มีรายได้มากกว่า โดยกลุ่มนี้อาจกำหนดหรือสนับสนุนให้ใช้ในการลงทุนหรือการรวมกลุ่มกัน เพื่อลดการใช้จ่ายกับสิ่งที่หาซื้อได้อยู่แล้วจนกลายเป็นเพียงการออมเงินที่มีอยู่แล้ว

Related Posts

Send this to a friend