POLITICS

‘พิชัย’ แจงสภาฯ งบปี 69 มั่นใจจีดีพีตามเป้า ยันขาดดุลสุทธิไม่เกินเกณฑ์ รัฐบาลมุ่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

วันนี้ (28 พ.ค. 68) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงต่อ นายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน โดยระบุว่า มีความเข้าใจในสถานการณ์และเห็นว่าปัญหาปัจจุบันต้องได้รับการแก้ไข เพื่อให้ประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และลดช่องว่างทางสังคม โครงสร้างเศรษฐกิจไทยในอดีตช่วงที่จีดีพีเติบโต 6-10% นั้น งบประมาณภาครัฐเป็นส่วนน้อย เนื่องจากหน้าที่หลักของรัฐคือการอำนวยความสะดวกให้เอกชนลงทุนและส่งออก

นายพิชัย กล่าวว่า ปัจจุบันการลงทุนโดยรวมของไทยในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาลดลงกว่าครึ่ง โดยการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกลดลง ทำให้การจ้างงานไม่เกิดขึ้น และมูลค่าสินค้าส่งออกโดยเฉพาะภาคเกษตรยังน้อยเมื่อเทียบกับต้นทุน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งนี้ งบประมาณที่จัดทำได้สนับสนุนการลงทุนภาคเอกชน

นายพิชัย ชี้แจงเรื่องการขาดดุลงบประมาณว่า แม้ตัวเลขขาดดุลสองปีติดต่อกันอยู่ที่ 850,000 ล้านบาท หรือกว่า 4% ของจีดีพี ซึ่งดูสูงกว่ากรอบที่ควรจะเป็น (ไม่เกิน 3.25-3.5%) แต่เมื่อหักเงินคืนต้นเงินกู้จำนวน 150,000 ล้านบาทออกแล้ว จะขาดดุลจริงประมาณ 3% กว่า ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับลดการขาดดุลในอนาคต สำหรับงบรายจ่ายประจำปีนี้พยายามลดลง แต่งบประมาณส่วนใหญ่ผูกพันกับงบข้าราชการซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน ส่วนหนี้สาธารณะที่รวมหนี้ของรัฐวิสาหกิจอย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนั้น ในทางปฏิบัติหน่วยงานเหล่านี้สามารถดูแลตนเองได้

รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวด้วยว่า แม้จะมีการปรับลดเป้าหมายจีดีพีลงจากเดิมที่คาดว่าจะเกิน 3% แต่ยังคาดว่าการจัดเก็บรายได้ในปีนี้น่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้การขาดดุลคงคลังไม่น่าจะสูงไปกว่าเดิม และยืนยันว่ามีการปรับปรุงหลายด้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า

นายพิชัย ระบุว่า การจัดทำงบประมาณปี 2569 เป็นไปตามพื้นฐานเดิม และขอให้ สส. ช่วยพิจารณารายละเอียดเพื่อให้สามารถปรับปรุงงบประมาณให้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้ ข้อเสนอส่วนใหญ่กว่า 90% ที่ สส. และเจ้าหน้าที่เคยเสนอมานั้น อยู่ในแผนงานของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้ว ซึ่งมีมูลค่ารวมถึง 4 ล้านล้านบาท บางโครงการเป็นระยะยาวและระยะปานกลาง โดยเน้นการแก้ปัญหาระบบน้ำ ระบบไฟฟ้า และการขนส่งคมนาคมอย่างถาวร รวมถึงปรับเปลี่ยนแนวทางการท่องเที่ยวให้สอดรับกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป

นายพิชัย ย้ำว่า การปรับเปลี่ยนงบประมาณจะถูกนำมาพิจารณา และเชื่อว่างบประมาณนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสนับสนุนให้เอกชนเกิดความเชื่อมั่นในการลงทุนในอนาคต โดยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้พึ่งพาภายในประเทศมากขึ้น และแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างผ่านงบประมาณรัฐ รวมถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน

Related Posts

Send this to a friend