ผบ.ตร.เผย อยู่ระหว่างการสืบสวน เหตุกลุ่มติดอาวุธยิงถล่มตำรวจ สภ.จะแนะ ปัด อย่าโยง ’ทักษิณ‘
ผบ.ตร. รับทราบเหตุกลุ่มติดอาวุธยิงถล่มตำรวจ สภ.จะแนะ จ.นราธิวาส เผย อยู่ระหว่างการสืบสวน พร้อมดูแลสวัสดิการเต็มที่ ปัด อย่าโยง ’ทักษิณ‘ เหตุปาฐกถาพิเศษ แก้ปัญหาชายแดนใต้ แนะ ควรใช้วิจารณญาณในการพิจารณา
วันนี้ (28 พ.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีกลุ่มคนร้ายติดอาวุธกว่า 10 คน ที่ยิงถล่มใส่ตำรวจ 8 นาย บริเวณจุดตรวจสกัดหน้า สภ.จะแนะ จ.นราธิวาส จนทำให้มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ และเสียชีวิต ว่า ตนได้รับทราบจาก พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 9 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวน
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวต่อว่า ตอนนี้ตนรู้สึกว่าผู้คนที่บริสุทธิ์กำลังทำอาชีพปกติ และมาเจอกลุ่มพวกนี้ที่กระทำต่อชีวิต และร่างกาย จึงเป็นความรู้สึกที่พวกเราคงไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ซึ่งตอนนี้เราได้รับรายงานเบื้องต้นว่า ในช่วงเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ และสาหัส แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต โดยตนได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดูแลสวัสดิการตำรวจอย่างเต็มที่
ส่วนที่หลายคนมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียนกล่าวในปาถกาพิเศษ ที่ ป.ป.ส. ว่าการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ว่า ”บทที่จะต้องพูดคุยก็ต้องพูดคุยกันอย่างจริงจัง แต่ถ้าคุยไม่รู้เรื่อง บทต้องทุบก็ต้องทุบ ต้องเด็ดขาด“ จะถูกเชื่อมโยงกันหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตนเองไม่ทราบ และไม่สามารถวิจารณ์หรือไปพูดเรื่องนี้ได้ ซึ่งตนเชื่อ เราทราบดีอยู่แล้วว่าเหตุการณ์ภาคใต้เกิดขึ้นมาต่อเนื่องเป็นระยะๆ และเมื่อมีบางเหตุการณ์ก็จะถูกนำไปเชื่อมโยงจนได้ และตนมองว่า ควรจะใช้วิจารณญาณในการพิจารณา
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กรณีที่นายทักษิณมาปาถกฐาพิเศษเรื่องยาเสพติดนั้น มีมาตรการอะไรที่ตำรวจจะต้องแก้ไขหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส.ได้เชิญนายทักษิณไปปาถกาเรื่องยาเสพติด แต่หลักๆ คือเน้นไปที่ความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากยาเสพติด ที่เน้นในตำบลชุมชนหมู่บ้าน และจะต้องไม่มีผู้ค้าเลย ซึ่งตั้งแต่ตนสมัยรักษาราชการแทน ผบ.ตร.ก็ได้กำชับเรื่องนี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในชุมชน โดยให้เก็บข้อมูลผู้ที่ค้ายาในชุมชนหรือหมู่บ้านให้ได้จากการขยายผล
อีกทั้ง กำหนดเป้าหมายเพื่อตัดวงจร และตรวจค้นจับกุมให้หมด รวมถึงมาตรการยึดทรัพย์ ซึ่งปฏิบัติการตั้งแต่พฤษภาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นในการประชุมเมื่อวานนี้ จนเป็นความเห็นที้สอดรับกัน จึงเสนอแนะว่าตำรวจกับกระทรวงมหาดไทยต้องจับมือกันทำเรื่องนี้ ซึ่งเราก็ทำงานร่วมกันมาตลอด และได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน จนเราผลการจับกุมผู้ค้ารายย่อยสูงมาก แต่คนขายก็ย่อมมีวิธีที่หลบหลีกเจ้าหน้าที่ แต่เราก็มีข้อมูลที่เก็บไว้ เพื่อช่วยกันดูแลทุกข์สุขในหลายเรื่องของประชาชน