POLITICS

’ชัชชาติ’ ถอดบทเรียนไฟไหม้บ่อนไก่-สำเพ็ง

’ชัชชาติ’ ถอดบทเรียนไฟไหม้บ่อนไก่-สำเพ็ง จ่อ เพิ่มเบี้ยเลี้ยง-เบี้ยเสี่ยงภัย ให้อาสาสมัครดับเพลิง พร้อมซ้อมแผนเผชิญเหตุร่วมกับชุมชน

วันนี้ (27 มิ.ย.65) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงการถอดบทเรียนเหตุไฟไหม้ชุมชนบ่อนไก่พัฒนา และสำเพ็ง ว่า สาเหตุของเพลิงไหม้ที่บ่อนไก่ ต้นเพลิงมาจากไฟฟ้าช็อตที่ชั้นบนของอาคาร และลุกลามไปยังอีกจุดหนึ่ง ปัญหาคือ บ้านเรือนอยู่ติดกัน และเป็นโครงสร้างไม้ติดไฟง่าย และน้ำประปามีแรงดันน้อย การปฏิบัติงานมีหลายหน่วยงาน ทำให้การบริหารจัดการพื้นที่ทำได้ไม่ดี

บทเรียนจากเหตุการณ์นี้ คือ 1.ประชาชนในชุมชน ไม่ได้แจ้งเหตุไปยังสถานีดับเพลิงโดยตรง แต่ไปแจ้งที่อาสาสมัครชุมชน ทำให้เสียเวลาไปประมาณ 5 นาที ก่อนที่ดับเพลิงจะได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการ โดยไม่ได้นำถังแดงไปดับเพลิงตั้งแต่แรก หากเราสามารถฝึกให้ชุมชนช่วยเหลือตนเองได้ อาจทำให้การดับเพลิงทำได้เร็วมากขึ้น

2.สายไฟฟ้าในชุมชนชำรุด ขาดการบำรุงรักษา ทำให้เกิดไฟช็อต ชุมชนยังสับสน ไม่รู้จะอพยพไปที่ใด ดังนั้นการฝึกซ้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เหตุที่บ่อนไก่ชุมชนมีหัวดับเพลิงแดงเพียงพอ มีหลายจุด แต่แรงดันน้ำมีไม่เพียงพอ

3.ปัญหาด้านผู้ปฏิบัติงาน ยังต้องปรับปรุง เนื่องจากไม่มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ ผู้ที่ลงพื้นที่ในชุมชนไม่มีความคุ้นเคยในชุมชน ดังนั้นผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ผู้อำนวยการเขต และอาสาสมัครต้องซักซัอมการปฏิบัติงานให้ดีขึ้น ทำบัญชีผู้เสียหาย และจัดบริการเบื้องต้น ได้แก่ ห้องสุขา ติดตั้งปั๊มน้ำให้น้ำพอใช้ เตียงกระดาษ ตั้งคลังอุปกรณ์ฉุกเฉิน ซึ่งจะช่วยผู้ประสบเหตุได้เร็วขึ้นไม่ต้องรอรับบริจาค และต้องแยกผู้ประสบภัยให้

ด้าน ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เบื้องต้นได้สำรวจข้อมูลพื้นที่หนาแน่นที่เหมือนกับชุมชนบ่อนไก่ ให้มีการระบุจุดเสี่ยง และสรุปผลเหตุเพลิงไหม้แต่ละจุด โดยในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุไฟฟ้าลัดวงจรและเพลิงไหม้ทุกวัน เพราะฉะนั้นทราบอยู่แล้วว่า เหตุเกิดซ้ำที่ใดบ้าง จึงต้องสนับสนุนอุปกรณ์ระงับเหตุ รวมทั้งการทำแผนเผชิญเหตุ

นายชัชชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุเพลิงไหม้สำเพ็ง สาเหตุต้นเพลิง คือ 1.หม้อแปลงที่มีควัน 2.สายสื่อสารติดไฟ 3.ตัวอาคารมีเชื้อเพลิง เช่น พลาสติกทำให้ไฟลุกลามเร็ว เบื้องต้นได้ประสานการไฟฟ้านครหลวง สำรวจหม้อแปลงทั้งหมด 400 กว่าลูกเฉพาะจุดเสี่ยงในกรุงเทพฯ ชั้นใน ส่วนประชาชนหากมีข้อกังวลให้แจ้งเข้ามาที่มา กทม. หรือระบบ Traffy Foundue จะได้ดำเนินการตรวจสอบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ส่วนการจัดระเบียบสายสื่อสารจะหารือกับ กสทช.ต่อไป

“เจ้าของอาคารที่มีวัสดุที่มีเชื้อเพลิงมาก ต้องระวังเรื่องอัคคีภัย ส่วนแผนเผชิญเหตุ ตามหลักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ควรไปฉีดที่ต้นเพลิง มากกว่ากระหน่ำฉีดเข้าไป ต่อจากนี้จะให้มีการอบรม จัดระเบียบทุกทีมรวมเป็นหนึ่งเดียว และต้องเรียนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีหลายหน่วยงานที่เข้ามาช่วย จึงให้ทางผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดทำแผนระยะสั้น กลาง ยาว ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะพิจารณาค่าตอบแทน เบี้ยเลี้ยง ค่าเสี่ยงภัยแก่อาสาสมัคร จัดสรรอุปกรณ์ที่เหมาะสมในงานด้านบรรเทาสาธารณภัย และทบทวนการเพิ่มเบี้ยงเสี่ยงภัย ซึ่งก่อนหน้านี้มีการเสนอให้เพิ่มจาก 5,000 บาท เป็น 7,000 บาท นายชัชชาติ กล่าวว่า มีการร่างแผนไว้แล้ว ค่าตอบแทนคงต้องพิจารณาเช่นกัน รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องมีอย่างเหมาะสม

ส่วนความเหมาะสม หรือความปลอดภัยของเด็กที่มาเป็นอาสาสมัคร ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสม โดยจะนำกรณีตัวอย่างการทำงานบรรเทาสาธารณภัยของประเทศเกาหลีมาเป็นต้นแบบในการทำงานของเราด้วย

Related Posts

Send this to a friend