POLITICS

‘ปานปรีย์’ แจงเหตุการณ์ 19 ก.ย.49 บินกลับไทย ไม่มีทหารควบคุมตัว อายัดบัญชี

‘ปานปรีย์’ แจงเหตุการณ์ 19 ก.ย.49 บินกลับไทย เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนการค้า ไม่มีทหารควบคุมตัว คลุมถุงดำ อายัดบัญชี ด้าน ‘พิธา’ ติดเครื่องกลับในฐานะหลานเลขา ‘ทักษิณ’ ส่วนเรื่องอื่นให้ถามเจ้าตัวเอง

วันนี้ (27 เม.ย. 66) นายปานปรีย์ พหิทธานุกร คณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ชี้แจงถึงกรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเรื่องการเดินทางกลับประเทศไทยในวันรัฐประหารและถูกควบคุมตัว รวมถึงถูกอายัดบัญชีการใช้จ่าย

นายปานปรีย์ ระบุว่า ช่วงปี 2549 ตนเองเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนการค้าไทยรับผิดชอบอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ โดยวันนั้นนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีภารกิจที่ UN และตนเองก็ต้องไปปฏิบัติภารกิจด้วย ซึ่งระหว่างที่กำลังจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา เวลาประมาณ 10 โมงตามเวลาท้องถิ่นก็มีข่าวว่าประเทศไทยเกิดการรัฐประหาร จึงยกเลิกกำหนดการทั้งหมด และเดินทางกลับประเทศไทย โดยช่วงเย็นวันที่ 19 ก.ย.49 เวลา 17.00 น. ได้เดินทางไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับไทย ซึ่งระหว่างนั้นนายทักษิณยังเดินทางไม่ถึงสนามบินนิวยอร์ก แต่นายทักษิณกลับมาถึงสนามบินในเวลาตี 5 ของอีกวัน ทั้งหมดที่อยู่บนเครื่องบินต่างอ่อนล้า เพราะอยู่บนเครื่องบินตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึงตี 5 หลังจากขึ้นเครื่องบินมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาบอกกับตนเองว่า ฝากน้องพิธากลับประเทศไทยด้วย เพราะมาเรียนอยู่ที่นิวยอร์ก ซึ่งตนเองก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เห็นเป็นนักศึกษา และไม่คิดว่าวันนี้จะมาเป็นนักการเมือง

“จากนั้นทั้งคณะก็ออกเดินทางจากนิวยอร์ก เมื่อเครื่องบินมาถึงประเทศไทยได้รับแจ้งว่าเครื่องน่าจะเข้าสนามบินดอนเมืองได้ เพราะไม่น่ามีปัญหา และนายทักษิณเดินทางถึงนิวยอร์กแล้ว แต่หลังจากที่เครื่องลงจอดที่สนามบินดอนเมืองได้ครึ่งชั่วโมง เครื่องจอดนิ่งจึงประเมินสถานการณ์ว่าคงไม่สู้ดี เลยเดินทางจากที่นั่งด้านหน้าไปท้ายเครื่องบิน ซึ่งมีนักข่าว เจ้าหน้าที่สำนักนายกรัฐมนตรี และข้าราชการนั่งอยู่ ซึ่งตนได้เจอกับนายพิธาอีกครั้ง จึงบอกว่าถูกยึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว เครื่องบินลำนี้คงจะเข้าไปจอดที่ บน. 6 และขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ คิดว่าทหารคงไม่ทำอะไรกับคณะในเครื่องบินลำนี้ที่มาถึง”

ส่วนนายพิธาจะขึ้นมาในฐานะผู้ช่วยของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในตอนนั้นหรือไม่ นายปานปรีย์ ระบุว่าตนเองไม่ทราบ แต่ตอนนั้นทราบเพียงว่านายพิธาเป็นหลานของ นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขาส่วนตัวนายทักษิณ จึงไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเครื่องบินมีที่ว่าง ใครจะติดสอยมาด้วยก็ได้ และไม่ทราบเรื่องว่านายพิธามาในฐานะผู้ติดตามใคร เพราะตนเองก็เป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่มาทำงานต่างประเทศ ใครจะอาศัยเครื่องบินกลับมาก็ไม่ทราบ นอกจากคนที่จะรู้จักกัน เช่น สื่อมวลชนบางส่วนที่คุ้นหน้ากันอยู่แล้ว

หลังจากนั้นมีทหารขึ้นมาตรวจบนเครื่องบินไม่นานก็ลงจากเครื่องไป และปล่อยทุกคนบนเครื่องบินออกมา ซึ่งตนเองถูกปล่อยตัวให้กลับบ้านทันที ไม่ได้ถูกเชิญตัวไปคุมขังหรือถูกคลุมถุงดำแต่อย่างใด แต่ของคนอื่นตนเองไม่ทราบ เพราะทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไปแล้ว ทุกคนเดินตามหลังออกมาและบางส่วนก็ไปรอรับกระเป๋าเดินทาง ไม่เห็นมีปัญหา และที่นายพิธาให้สัมภาษณ์กับพิธีกรชื่อดังคนหนึ่งว่า ถูกจับกุมคลุมถุงดำและกักขังหลายชั่วโมง และถูกอายัดบัญชีการเงินนั้นข้อเท็จจริงตนเองก็ไม่สามารถทราบได้ ต้องไปถาม นายพิธาเอง แต่ตนเองไม่ถูกอายัดหรือถูกกระทำใดๆ เลย กลับบ้านเหมือนผู้โดยสารปกติทั่วไป ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ณ ขณะนั้น เป็นหัวหน้าผู้แทนการค้าไทย เป็นนักการเมือง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งในเครื่องบินลำดังกล่าว ตนเองมีตำแหน่งที่สูงที่สุดแล้ว

นายปานปรีย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ไม่ทราบ สถานะของนายพิธาในขณะนั้น ไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงเป็นน้องคนหนึ่งไปเรียนเมืองนอก เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งบอกไปว่า กลับมาเมืองไทยแล้วขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวที่สูญเสียพ่อ ซึ่งตนได้พูดแค่นั้นกับนายพิธา และไม่ได้เจอกันอีกเลยจนวันนี้นายพิธาเป็นนักการเมือง

Related Posts

Send this to a friend