ทนาย ‘ยิ่งลักษณ์’ ขอบคุณตุลาการยกฟ้องคดี ‘ถวิล’
ทนาย ‘ยิ่งลักษณ์’ ขอบคุณตุลาการยกฟ้องคดี ‘ถวิล’ ชี้ไร้หลักฐานอดีตนายกฯ กลั่นแกล้ง-เอื้อเครือญาติ เผยศาลฎีกาตัดสินฐานอาญา ไม่ผูกพันตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด-ศาลรัฐธรรมนูญ ยกเป็นกรณีน่าศึกษาในแวดวงกฎหมาย
วันนี้ (26 ธ.ค. 66) ภายหลังองค์คณะผู้พิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกา อม.) สนามหลวง พิพากษายกฟ้องคดี อม.11/2565 หมายเลขแดงที่ 30/2566 ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลย กรณีแต่งตั้งโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
เวลา 14:53 น. นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง และนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ด้านหน้าที่ทำการศาลฎีกา สนามหลวง
นายนรวิชญ์ กล่าวว่า ทีมทนายต้องขอขอบคุณคณะตุลาการทุกท่านที่มีคำพิพากษาออกมายกฟ้อง อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โดยให้เหตุผลที่เป็นประเด็นคือ นายกรัฐมนตรีถือเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการทั้งหมด การโยกย้ายก็เป็นไปตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ มาตรา 57 ซึ่งสามารถทำได้
ส่วนการกระทำผิดทางอาญานั้น จะต้องอาศัยเจตนาเป็นสิ่งสำคัญ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ซึ่งในทางไต่สวน ไม่พบพยานหลักฐานใด ๆ ว่ามีเจตนาพิเศษที่จะกลั่นแกล้งนายถวิล ส่วนประเด็นคำพิพากษาของศาลปกครอง เป็นเพียงการพิจารณาในเรื่องของการโอนย้ายตามขั้นตอนเท่านั้น ส่วนศาลรัฐธรรมนูญเป็นคำสั่งให้พ้นการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ไม่มีการกระทำผิดทางอาญา จึงไม่อาจนำคำพิพากษาของทั้ง 2 ศาลมาตัดสินว่าทำผิดทางอาญาได้
ด้านนายวิญญัติ กล่าวเสริมว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญทางกฎหมาย ในการวินิจฉัยของศาลฎีกา กรณีทั้ง 2 ศาลที่กล่าวมานั้น ถือว่าเป็นคนละประเด็นที่จะนำมาทำให้ศาลรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า การกระทำของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ กระทำผิดทางอาญาหรือไม่ ซึ่งทั้ง 2 ศาลยังไม่วินิจฉัย ซึ่งพยานบุคคล โดยเฉพาะพยานฝ่ายโจทก์ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนนั้นคือ เจ้าหน้าที่ข้าราชการประจำ อย่างน้อย 2 ปาก ซึ่งมีคำให้การว่า การโยกย้ายนายถวิล นั้นเป็นปกติ แม้จะมีระยะเวลา 4 วัน แต่ไม่ได้มีพิรุธเร่งด่วนอะไร
ส่วนที่มีการกล่าวหาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าแทรกแซงสั่งการนั้น นายวิญญัติ กล่าวว่า ไม่มีพยานใดยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า นายกฯ เข้าไปแทรกแซงจริง ซึ่งสอดรับกับพยานฝ่ายจำเลยที่เรานำไปไต่สวน คือ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่างยืนยันว่า เรื่องนี้ นายกฯ ไม่มีการสั่งการ และการโยกย้ายนายถวิล เกิดก่อนที่จะมีการสมัครใจหรือโอนย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มาเป็นเลขาธิการ สมช. ถึง 22 วันแล้ว จึงเห็นว่า ระยะเวลาห่างกัน ทำให้ไม่มีความเชื่อมโยงกัน
สำหรับการถูกตั้งข้อครหาจนนำมาสู่การฟ้องร้องในคดีคือ การเอื้อให้เครือญาติตัวเองคือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ได้เป็น ผบ.ตร. นั้น นายวิญญัติ กล่าวว่า ศาลวินิจฉัยว่า ไม่มีหลักฐานใดเชื่อมโยงกัน การโยกย้ายนายถวิล ไม่เกี่ยวข้องกับการที่คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) มีมติแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ แต่อย่างใด จึงเป็นเรื่องที่ศาลมองว่า ไม่มีการกระทำ และไม่มีเจตนาพิเศษ
“ถือว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาในเรื่องนี้ ในแวดวงทางกฏหมายก็ถือว่าเป็นคำพิพากษาที่น่าอ่าน น่าศึกษา ได้ข้อมูล ได้ความรู้มาก ไม่ว่าในเรื่องของการนำคำพิพากษาของศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญด้วย” นายนรวิชญ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวยังสอบถามถึงกรณีสำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ อาจอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวนั้น นายนรวิชญ์ ให้ความเห็นว่า ต้องดูประเด็นอุทธรณ์ก่อนว่าเป็นอย่างไร จึงคงดำเนินการตามขั้นตอนหากอุทธรณ์ อย่างไรก็ตาม นายวิญญัติ ยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า การจะอุทธรณ์ได้ ต้องมีมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ต้องพิจารณาว่า มีประเด็นหรือสาระสำคัญใดจะอุทธรณ์ได้หรือไม่ หากอุทธรณ์ไม่ได้จะถือว่า คำพิพากษานี้สิ้นสุดแล้ว และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีความผิด
นอกจากนี้ นายนรวิชญ์ ยังเปิดเผยอีกว่า ก่อนหน้านี้ ยังไม่ได้มีการพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ คงจะมีการรายงานผลให้ทราบต่อไป แต่ขณะนี้คงทราบจากข่าวแล้ว ถือว่าเป็นการเพิกถอนหมายจับในคดีนี้ด้วย ส่วนจะฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหายหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของทีมทนายที่จะนำไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่งต่อไป