POLITICS

‘นิกร’ เผยที่ประชุมยังไม่เคาะทำประชามติ 2 หรือ 3 ครั้ง หวังจบงานไม่เกิน ธ.ค.66

นายนิกร จำนง ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติฯ และคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนฯ ว่าขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะต้องทำประชามติกี่ครั้ง เพราะมีความเห็นเป็น 2 ทาง โดยฝ่ายหนึ่งเห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำถึง 2 ครั้ง ส่วนอีกฝ่ายเห็นว่าต้องทำ 3 ครั้ง เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้เช่นนั้น ดังนั้นจะมีการสรุปในการประชุมครั้งต่อไป โดยจะรอฟังความเห็นจากคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น ในการไปรับฟังความเห็นจากส่วนสำคัญต่าง ๆ อาทิ สมาชิกรัฐสภา กรรมาธิการการพัฒนาการเมืองของทั้ง 2 สภา

ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และหมวด 2 มีการนำมาหารือว่าการยกเว้นการแก้ไขทั้ง 2 หมวดถือเป็นการไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่ เนื่องจากหากแก้ไขทั้งฉบับจะต้องมีการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 ด้วย แต่ความเห็นอีกส่วนมองว่าหากไม่แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 แต่ไปแก้เยอะ จะเป็นการแก้ที่หลักการ แม้ไม่แก้หมวด 1 และ หมวด 2 มาตราก็จะเคลื่อน ซึ่งถือเป็นการแก้ทั้งฉบับเช่นกัน โดยคณะอนุฯ ศึกษากฎหมาย จะประชุมอีกครั้งในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566

ขณะที่เรื่องค่าใช้จ่ายในการทำประชามติจะเชิญคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาชี้แจงว่าเป็นเมื่อใด รวมถึงใช้งบประมาณเท่าไหร่ จะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากทั้ง 2 สภา ว่าจะต้องมีการทำประชามติอีกครั้ง

ทั้งนี้ การทำงานของอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็น จะเริ่มดำเนินการครั้งแรกในการรับฟังความคิดเห็นจากวุฒิสภา โดยเริ่มจากชุดของนายเสรี สุวรรณภานนท์ วันที่ 30 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ ในประเด็นการทำประชามติ 2 หรือ 3 ครั้ง รวมถึงควรจะต้องมีสสร.หรือไม่ และการออกแบบคำถามในการรับฟังความเห็น เป็นต้น เนื่องจากจะรับฟังความคิดเห็น 100% จาก สว. เพราะ สว.จะเป็นคนโหวตให้ความเห็นต่อรัฐธรรมนูญอยู่แล้วในการพิจารณา และจะได้ทราบว่า สว.นั้นมีความเห็นอย่างไร

สำหรับการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดหมายนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองการสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ในวันที่ 2 พฤศจิกายน เวลา 13.30 น ที่อาคารรัฐสภา โดยจะหารือร่วมกัน และให้ช่วยคิดคำถามในการไปถาม สส.

ในวันที่ 8 พฤศจิกายน จะดึงกลุ่มคนต่าง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ อาทิ เยาวชนคนรุ่นใหม่ นิสิตนักศึกษา เชิญมาที่อาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และวันที่ 10 พฤศจิกายน จะเชิญภาคประชาชน อาทิ กลุ่มสมัชชาคนจน กลุ่มสหภาพแรงงาน กลุ่มตัวแทนสลัม 4 ภาค สมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทย ilaw ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวเรื่องรัฐธรรมนูญ รวมถึงฝ่ายความมั่นคง ทั้งทหาร และตำรวจ

นอกจากนี้ยังมีช่องทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผ่านทาง E-mail ของสำนักกฎหมายและระเบียบการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยจะกำหนดเป็นอีเมลเฉพาะ, ช่องทาง OPM e-Form ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, ระบบกลางทางกฎหมาย และทางศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

จากนั้นจะมีการไปรับฟังเสียงของประชาชนในแต่ละภูมิภาค โดยกำหนดไว้ 4 ภาค คือ ภาคใต้ จ.สงขลา เนื่องจากจะต้องรับฟังความเห็นจากประชาชนกลุ่มมุสลิม ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ภาคตะวันออก และภาคกลาง

ขณะที่ภาพรวมการรับฟังความคิดเห็นคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนธันวาคม 2566 และคาดว่าไม่เกินสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนธันวาคม จะเสนอเรื่องกฎหมาย คาดการณ์ว่าจะสามารถปิดงานได้ในทันทีทั้งเรื่องความชัดเจนในการทำประชามติ การสรรหา สสร. ส่วนจะสรรหาอย่างไรคณะอนุกรรมการไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง คาดว่าช่วงต้นปี 2567 จะสามารถส่งเรื่องที่ทั้งสองอนุกรรมการดำเนินการมาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาได้ หาก ครม.อนุมัติแล้วจะต้องทำประชามติให้เสร็จในกรอบระยะเวลา 90 วันไม่เกิน 120 วัน

ทั้งนี้ นายนิกร ยืนยันว่า การทำประชามติ และการสรรหา สสร.จะทันกับการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ปีก็เสร็จ แต่เวลาที่กันช่วงปลายเอาไว้ อาจจะต้องดำเนินการในเรื่องกฎหมายลูกอีกกว่า 10 ฉบับที่จะต้องทำให้เสร็จ ย้ำว่าทันการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน

เมื่อถามย้ำว่าประชาชนจะได้เข้าคูหาเมื่อใดนั้น นายนิกร กล่าวว่า คาดการณ์ว่าไตรมาสแรกของปี 2567 แต่อย่างไรก็ต้องหารือกับ กกต.ก่อน

Related Posts

Send this to a friend