‘เพื่อไทย’ ยื่นญัตติแก้ไข รธน. หมวด 15 เสนอจัดทำฉบับใหม่ผ่านกระบวนการ ส.ส.ร.
‘เพื่อไทย’ ยื่นญัตติแก้ไข รธน. หมวด 15 เสนอจัดทำฉบับใหม่ผ่านกระบวนการ ส.ส.ร. ที่รัฐสภาเป็นผู้แต่งตั้ง หลังประชาชนลงประชามติ เน้นยึดหลักคำวินิจฉัยศาล รธน. สร้างความร่วมมือ 3 พรรค หวังร่างผ่านวาระ 3 ทันก่อนยุบสภาต้นปี 69
วันนี้ (25 ก.ย. 68) เวลา 13:30 น. ที่รัฐสภา พรรคเพื่อไทย นำโดย นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางสาวธีรารัตน์ สำเร็จวานิช สส.กทม. พรรคเพื่อไทย และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย เข้ายื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร
โดย นายชูศักดิ์ เปิดเผยว่า วันนี้พรรคเพื่อไทย ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จำนวน 113 คน ได้ร่วมกันยื่นญัตติเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหมวด 15 ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม เพื่อจัดให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อท่านประธานรัฐสภา เพื่อนำญัตตินี้เข้าสู่การประชุมของรัฐสภาต่อไป
นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า คำแถลงอย่างเป็นทางการของพรรคเพื่อไทย ตนเองขออนุญาตขยายเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจและอธิบายความเป็นมาว่า 1.ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมนี้ ได้ร่วมกันจัดทำขึ้นโดยคำนึงถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ซึ่งก็มีข้อห้าม ข้อพิจารณาอย่างไรบ้าง 2.มีการคำนึงถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีการประกาศไปแล้ว และ 3.สิ่งที่เราคิดคำนึงก็คือในอดีตที่ผ่านมาเราเคยยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยกระบวนการสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาแล้วหลายครั้ง เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเราคิดว่าการที่เรามีคนมาร่างรัฐธรรมนูญโดยกระบวนการ ส.ส.ร. นั้น เป็นการสร้างความมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน
อย่างไรก็ตาม 3 เรื่องเหล่านี้ เมื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะข้อที่เราคำนึงถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีมา โดยเฉพาะคำวินิจฉัยที่บอกว่า รัฐสภามีอำนาจที่จะริเริ่มแสดงความต้องการในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้พี่น้องประชาชนลงประชามติเสียก่อนว่าประสงค์มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ซึ่งคำวินิจฉัยที่ว่าไม่ถูกต้องถ้าจะให้มีการเลือกสมาชิกร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงจากประชาชน ซึ่งขอวินิจฉัยเหล่านี้ก็นำมาคิดคำนึงเป็นข้อสำคัญว่าหากเรากระทำการโดยไม่เป็นไปตามนี้ท้ายสุดประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอยอีกว่ามีคนไปยื่นคำร้องในท้ายที่สุดก็ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่ประสบความสำเร็จตามที่เราตั้งใจ
ผลจากข้อคำนึง 3 ข้อดังกล่าว คณะทำงานยกร่างของพรรคเพื่อไทย ได้มีข้อสรุปว่า 1.ให้รัฐสภาแต่งตั้ง ส.ส.ร. ซึ่งจะพิสูจน์ว่าเราไม่ได้เลือก ส.ส.ร. โดยตรง แต่รัฐสภาเป็นคนเลือก หลังจากที่ประชาชนได้มีการเลือกมาแล้ว และหากมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วคงต้องให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบในฐานะผู้ที่ริเริ่มการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เนื่องจากรัฐสภาไม่สามารถมอบองค์กรใดให้มายกร่างรัฐธรรมนูญแทนได้
นอกจากนี้ นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า จริง ๆ แล้วการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังไม่เริ่มต้น การที่เรายื่นคําร้องญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวันนี้ เป็นการเพิ่มเติม ถ้าผ่านวาระสามเข้าสู่การทำประชามติแล้วประชาชนเห็นชอบจึงจะนํามาประกาศใช้ และเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมแล้วจึงจะทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เริ่มขึ้น สำหรับการคุยกันนอกรอบของ 3 พรรค เห็นตรงกันว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจจะเริ่มขึ้นหลังจากมีการทําประชามติ เมื่อมีการยุบสภาแล้ว และเมื่อมีการประกาศในส่วนของการแก้ไขก็จะมีการเริ่มกระบวนการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยการเลือกตั้ง ส.ส.ร. ตามกระบวนการที่กำหนดไว้
นายชูศักดิ์ ยังกล่าวถึงการคัดเลือก ส.ส.ร. อีกว่า การคัดเลือกจะมาจาก 2 ส่วน คือ 1.ให้มี ส.ส.ร. จํานวน 100 คน โดยรัฐสภาเป็นผู้เลือกจากการที่ประชาชนเลือกมาทั้งหมด 300 คน ซึ่งมีหลักประกันว่า ในหนึ่งจังหวัดต้องมี ส.ส.ร. อย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อป้องกันการบล็อกโหวต การฮั้วกัน 2.เราคํานึงว่าเรามีองค์กรทั้งหลายที่อยู่ในรัฐธรรมนูญในสังคมในกระบวนการบริหารราชการแผ่นดินมากมาย ทั้งองค์กรรัฐ เอกชน หรือองค์กรที่ให้ความเห็นเสนอแนะรัฐบาลต่าง ๆ เราคิดว่าควรให้องค์กรเหล่านี้ มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญจึงให้องค์กรวิชาชีพ และสภาต่าง ๆ รวมไปถึงมหาวิทยาลัย นิสิตนักศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยจะให้องค์กรเหล่านี้เลือกเสนอชื่อบุคคลเข้ามาเอง ซึ่งท้ายที่สุดคาดว่าจะได้บุคคลที่มาเป็น ส.ส.ร. ประมาณ 51 คน รวมสองส่วน 151 คน
“คนเหล่านี้มีหน้าที่มาจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แน่นอนว่าเขาอาจไม่ใช่บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเต็ม 100% แต่สามารถไปตั้งคณะกรรมาธิการจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายมายกร่างรัฐธรรมนูญได้ เนื่องจากมีการวินิจฉัยไว้ว่าจะให้ ส.ส.ร. ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มา แล้วประกาศใช้เลยไม่ได้จึงให้มีการกลับมาขอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ และไปทําประชามติ เพื่อประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” นายชูศักดิ์ กล่าว
นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า ร่างของเราคงถูกนํารวมไปพิจารณากับร่างของทั้งพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน และจากกรณีที่นายกรัฐมนตรีประกาศเมื่อวานนี้ (24 ก.ย 68) ว่าจะยุบสภาภายในเดือนมกราคม 2569 ตนเองขอฝากเป็นข้อสังเกตว่าน้อยที่สุดร่างที่นําเสนอไปนี้ต้องทําให้เสร็จสิ้นในวาระสามก่อนที่จะมีการยุบสภาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมจึงจะสามารถเดินไปได้
ทั้งนี้ นายชูศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า พรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค และกรรมาธิการที่จะตั้งขึ้นคงมีภารกิจที่สําคัญอย่างยิ่งชนิดที่ว่าไม่มีเวลาไปทําอะไรเลย นอกจากจะยกร่างให้เสร็จภายในวาระสาม เพราะประสบการณ์ที่ตนเองมีมาไม่เคยมีการพิจารณาวาระหนึ่ง สอง และสามให้เสร็จภายใน 4 เดือน เป็นเรื่องยากมาก ๆ บางฉบับใช้เวลาแค่กฎหมายธรรมดาก็ 8-9 เดือน
อย่างไรก็ตาม เราตั้งใจจะทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาหลายด้าน ทุกคนก็เห็นอยู่แล้ว รัฐบาลที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในขณะนี้ บทชัดเจนที่สุดก็เป็นผลพวงจากรัฐธรรมนูญ 2560 ประเทศไทยหยุดอยู่กับที่ก้าวเดินไม่ได้สักที ก็เพราะอุปสรรคจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าจะมีการพิจารณาร่างดังกล่าวประมาณวันที่ 14-15 ต.ค. 68
เมื่อถามว่า การจะพาไปสู่วาระสามถือเป็นเรื่องยากแล้ว โดยเฉพาะที่มาของ ส.ส.ร. ของทั้ง 3 ฉบับ ที่มีความแตกต่างกันมากจะถือเป็นเรื่องยากมากน้อยแค่ไหนในการตกลงกัน นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ถูกต้อง แต่ท้ายที่สุดคงต้องคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ว่าอันไหนจะดีที่สุด ตนเองขอไม่มีวิจารณ์ว่าของพรรคไหนดีหรือไม่ดี แต่ในส่วนของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ดูเหมือนได้อธิบายไปแล้วว่า เราพยายามจะทําอย่างไรให้ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด หากไปโหวตรวมกันเลยทีเดียวก็อาจมีปัญหาเหมือนกันว่าใครคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ เอาไปหมดเลย อย่างนี้เป็นต้นนี่เป็นสิ่งที่เราคิดอยู่ในใจ ท้ายที่สุดก็อยู่ที่หลอมรวมความคิดกัน
ส่วนกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี มีข้อเสนออยากให้พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ถอนร่างออกมา ทําเป็นร่างเดียวกัน จากการลงนามใน MOA ร่วมกัน ก็ควรทําให้มีทิศทางเดียวกัน พรรคเพื่อไทยเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เป็นความเห็นของนายณัฐวุฒิเอง ส่วนตัวเราเดินมาขนาดนี้แล้ว ก็ตอบอยู่ในตัวแล้วว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เป็นความเห็นในทางการเมือง และความคิดของนายณัฐวุฒิ เป็นเรื่องที่เขาแสดงความคิดเห็น แต่ขณะนี้เมื่อเรายื่นร่างแก้ไขแล้ว ก็แสดงว่าเรายืนของเราแนวนี้คงต้องไปถามทั้ง 2 พรรคนั้น เราไม่วิจารณ์
เมื่อถามว่า สรุปแล้วได้มีการจัดตั้งกลุ่มที่จะไปพูดคุยโน้มน้าวกับ สว.หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ดูบรรยากาศในท้ายที่สุดคิดว่า กระแสสังคมมาถึงขนาดนี้ พรรครัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน ใครต่อใครก็เอาด้วยหมด ก็ต้องไปดูว่าเขาคิดอย่างไร เราคงไม่ไปจัดตั้งอะไรเป็นผู้ใหญ่กันแล้วทุกคนคงคิดได้
ย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่เราเห็นกันว่า พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย มีการเสนอร่างแล้ว หมายความว่า ความต้องการของฝ่ายการเมือง คืออยากให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ สว.คิดอย่างไรก็สุดแท้แล้วแต่ สว.จะพิจารณา
ทั้งนี้ 3 พรรค คงต้องหาข้อตกลงให้ได้ว่าจะเอาร่างใดเป็นร่างหลัก เพื่อไม่ให้ต้องนําไปสู่การลงมติ วัดคะแนนเสียงกันใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ก็ไม่รู้ แต่ถ้าไปดูใน MOA มี 2 ข้อ ที่เขาคงคิดว่าเขาคุยกันได้ ก็ให้เขาไปว่ากัน เราไม่ได้ไปทํา MOA ด้วย เราไม่รู้












