สภาทนายความยื่นขอความเป็นธรรมให้ ผอ.รร.ไทยรัฐวิทยา 6
สภาทนายความยื่นขอความเป็นธรรมให้ ผอ.รร.ไทยรัฐวิทยา 6 หวั่นส่งผลกระทบต่อบุคลากรด้านการศึกษา
วันนี้ (25 ก.ค. 66) ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการแถลงข่าวกรณีที่เด็กนักเรียนไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร์ 126 คนจากโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 ถูกส่งตัวกลับประเทศพม่า และมีการดำเนินคดีกับกรรมการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 รวมทั้งผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 จ.อ่างทอง ว่าทางสภาทนายความฯ จะให้ความช่วยเหลือผู้อำนวยการโรงเรียนและพวกทั้ง 5 คน ซึ่งวันนี้สภาทนายความฯ ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรป่าโมก เพื่อขอให้สั่งการพนักงานสอบสวนชะลอการส่งสำนวนไปยังอัยการ เพราะต้องทำการสอบพยานเพิ่มเติมทั้งพยานบุคคลและเอกสาร โดยในขั้นตอนนี้ต้องทำให้เต็มที่เพื่อประกอบการพิจารณาสั่งฟ้อง
“เหตุการณ์ลักษณะที่รับเด็กมาเรียนหนังสือก็มีปรากฏหลายโรงเรียน ถ้าดำเนินคดีจะกระทบต่อบุคลากรทางการศึกษา ต้องหาทางเจรจากับหน่วยงานรัฐถึงบริบทของอาจารย์และโรงเรียน รับเด็กเข้ามาศึกษาให้เป็นไปตามคู่มือและแนวทางปฏิบัติสำหรับการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย ต้องยึดมั่นในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเพราะเป็นเรื่องขององค์กรระหว่างประเทศคือสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก” นายกสภาทนายความฯ กล่าว
ทั้งนี้ ดร.วิเชียร กล่าวด้วยว่าในเร็วๆ นี้สภาทนายความฯ จะจัดเสวนาในกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาร่วมหาทางออก
ขณะที่นางกัลยา ทาสม ผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 จ.อ่างทอง กล่าวว่า หลังจากยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อผู้กำกับการ สภ.ป่าโมก ตอนนี้ต้องหาเอกสารเพิ่มเติมจากคนที่จัดทำการศึกษาให้กับคนที่ไม่สัญชาติ
“พยานเอกสารและบุคคลที่จะต้องนำมาเพิ่มเติมมี 4 ประเด็น อย่างแรกคือหลักฐานว่าการให้การศึกษากับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยเป็นประเพณีปฏิบัติมานานแล้ว ประเด็นต่อมาคือข้อเท็จจริงจากอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 รวมถึงคนในพื้นที่ที่เคยเห็นว่าโรงเรียนได้ให้การศึกษากับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย และสุดท้ายคือพยานบุคคลเป็นข้อมูลจากศิษย์เก่า โดยจะต้องส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้กับตำรวจในวันที่ 8 สิงหาคม ที่จะถึงนี้” นางกัลยา กล่าว
ขณะที่ นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวว่า หากกรณีดังกล่าวผิด เช่นนั้นแล้วโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนก็ถือว่าผิดเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าสิ่งที่ ผู้อำนวยการฯทําไปไม่มีเจตนาทุจริต และทําไปเพื่อให้เด็กได้มีโอกาสในการศึกษาตามสิทธิมนุษยชน
