‘ลิซ่า’ อภิปรายซัด ‘แพทองธาร’ ไร้ภาวะผู้นำ-ขาดความรู้ความสามารถ ลอยตัวเหนือปัญหา

‘ลิซ่า’ อภิปรายซัด ‘แพทองธาร’ ไร้ภาวะผู้นำ-ขาดความรู้ความสามารถ ลอยตัวเหนือปัญหา ทำประชาชนเสียโอกาส มองรัฐบาลขาดเจตจำนงปมคดีตากใบ ลั่นไม่ไว้วางใจให้เป็นนายกฯ ได้แม้แต่วินาทีเดียว
วันนี้ (25 มี.ค. 68) การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) พิจารณาเรื่องด่วน ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นางสาวภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เปิดอภิปรายเป็นคนแรก ระบุว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่มีคุณสมบัติผู้นำประเทศ ขาดความรู้ความสามารถ วุฒิภาวะผู้นำ และไม่มีเจตจำนงรับใช้ประชาชน ซึ่งวันนี้ประเทศไทยเต็มไปด้วยความท้าทายมีโจทย์ มียากที่พวกเราต้องทำให้สำเร็จ ทั้งเศรษฐกิจ จีนเทา คอรัปชั่น และไม่แปลกที่พี่น้องเฝ้ารอการแก้ไขปัญหาจากนายกฯ อย่างจริงจัง แต่เรากลับมีนายกฯ ที่ไม่มีคุณสมบัติของผู้นำประเทศไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีวุฒิภาวะ และไม่มีเจตจำนงที่รับใช้ประชาชน ที่จะนำพาประเทศไปสู่ข้างหน้าได้เลย
นางสาวแพทองธารคือ นายกฯ ที่อยู่ในตำแหน่งแต่กลับลอยตัวเหนือปัญหา คนเป็นผู้นำต้องมีความรู้ เพื่อนำไปสู่ตัดสินใจที่แม่นยำเผชิญปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมีวุฒิภาวะ และต้องมีเจตจำนงที่รับใช้ประชาชน ซึ่งคนที่เป็นผู้นำต้องมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน ถ้าขาดตรงนี้การดำรงตำแหน่งนายกฯ ก็จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนเองและครอบครัว
ส่วนกรณีการตอบคำถามเกี่ยวกับความคืบหน้าในการแจกเงินหมื่น แต่นายกฯ ไม่กล้าพูด เพราะกลัวจะพูดผิดอีก หรือกรณีการแถลงแจกเงินหมื่น เฟส 3 หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจว่า มีเหตุผลอะไรที่ไม่สามารถตอบได้ว่า การแจกเงินให้คนอายุ 16-20 ปีได้ ทั้งที่ตนเองก็นั่งเป็นประธานในที่ประชุม แล้วมีเหตุผลอะไรจะไม่สามารถตอบเนื้อหาในที่ประชุมได้ นายกฯ อาจเป็นคนเดียวในที่ประชุมที่ไม่มีอะไรติดหัวมาออกมาเลย
นางสาวแพทองธาร ไม่มีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำประเทศ ในขณะที่สังคมกำลังตื่นตระหนกกับข่าวสารที่ไม่ชัดเจน คนที่ควรจะมาให้ความชัดเจนกับสังคมคือนายกฯ ตนเองคิดว่าสิ่งหนึ่งที่นายกฯ ไม่มีคือ ภาวะในการดำรงตำแหน่งนายกฯ ทุกคนรู้ว่านางสาวแพทองธาร ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ แต่เรื่องพื้นฐานทั่วไป การสื่อสารเพื่อระงับความสับสนและความสบายใจ ให้ความกระจ่างกับประชาชนที่กำลังกังวลไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น และไม่ใช่หน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญที่ไหน แต่เป็นหน้าที่ของนายกฯ ถ้าคุณไม่รู้มีวิธีการเยอะแยะ แต่คุณไม่ทำคุณไม่พยายาม และหลายครั้งท่านไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าท่านเป็นนายกฯ เรื่องพื้นฐานที่สร้างความเชื่อมั่นให้สังคม แต่ยังไม่มีปัญญา ส่วนเวทีนานาชาติที่มีนักลงทุนจากต่างชาติเพื่อโน้มน้าวนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย นายกฯ สามารถแสดงวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจได้ แต่เสียดาย เพราะเหมือนนายกฯ ตอบเหมือนไม่เข้าใจคำถาม
โครงการซอฟพาวเวอร์ที่นายกฯไปไหนมาไหนก็จะโปรโมท ท่านพอใจในสินค้าไทย ถ้านายกฯ จะบอกว่าตัวเองโปรโมทสินค้าไทย อยากทำผลิตภัณฑ์คนไทยมีมูลค่าเหมือนที่นายกฯ ยกตัวอย่าง เพราะอยากให้ช่างฝีมือมีรายได้มากเหมือนช่างทำนาฬิกา ท่านต้องพูดยุทธศาสตร์ให้มากกว่านี้ ไม่ใช่มองแค่ว่าใส่แล้วบอกว่าเท่ากับการกระตุ้นเศรษฐกิจ
”ท่านเป็นนายกฯ ท่านไม่ใช่อินฟลูเอนเซอร์ ท่านทำได้มากกว่านั้น พูดไปเลย ยุทธศาสตร์เป็นอย่างไร ท่านต้องบอกว่ารัฐบาลส่งเสริมอย่างไร มีแผนการอย่างไร อะไรก็ว่าไป พูดให้มากกว่านี้ แต่นี่พูดบางเบา ปลิดปลิว ตื่นเขินเหลือเกิน“ นางสาวภคมน กล่าว
เรื่องวุฒิภาวะของนายกฯ ถ้าต้องการพิสูจน์ภาวะผู้นำ ต้องทำให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นในตัวท่านให้ได้ ส่วนเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายกฯ บอกว่าก็โดนเหมือนกัน จะบอกทำไมเพราะประชาชนอยากรู้ว่านายกฯ แก้ปัญหาอย่างไร กลายเป็นว่าประชาชนต้องมาฟังเรื่องราวร้องทุกข์ของนายกฯ ยังไม่รวมถึงที่นายกฯ โพสต์รูปภาพสวมเสื้อสีสันสดใส แคปชั่นสวัสดีวันจันทร์ แต่ยังมีประชาชนเสียหายจากน้ำท่วมเชียงราย และครั้งที่ไปประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ ในขณะที่ท่านกำลังทำกิจกรรมด้วยการไปสวนสัตว์ ช้อปปิ้ง จิตสำนึกไม่กระซิบเลยหรือว่า ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้กำลังเผชิญกับน้ำท่วมในรอบ 37 ปี เขาจะรู้สึกอย่างไรที่นายกฯ มีภาพและสื่อสารออกไปอย่างเริงร่าขนาดนั้น สุดท้ายสื่อมวลชนก็ต้องไปถามนายกฯ ว่าทอดทิ้งประชาชนคนใต้หรือไม่ และนายกฯ ยืนยันว่าไม่ทอดทิ้งคนใต้ เพราะสามีเป็นคนใต้ ซึ่งมีวิธีการสื่อสารมากมายที่ยืนยันว่า นายกฯ ไม่ทอดทิ้งประชาชน แต่ท่านเลือกที่จะสื่อสารด้วยประโยคแบบนี้
ทำให้ นางสาวชนก จันทาทอง สส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า คนอภิปรายวนเวียนซ้ำซาก เอาข่าว เอาคอมเมนต์มาอ่าน และใช้ความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปเสริมแล้วตัดสิน จึงขอให้ผู้อภิปรายเข้าประเด็นว่านายกฯ ไม่เหมาะสมเช่นไร นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ในฐานะประธานในที่ประชุม จึงวินิจฉัยและย้อนถามนางสาวภคมน ว่าประเด็นที่จะถามคืออะไร นางสาวภคมน กล่าวว่า นายกฯ ขาดความรู้ความสามารถ สิ่งที่ตนเองพูดมามีสิ่งไหนบ้างที่นายกฯ มีความรู้ความสามารถ ให้แย้งมาเป็นข้อ ๆ ได้เลย แต่ก็ไม่มีใครโต้แย้ง นางสาวภคมน จึงอภิปรายต่อ
นางสาวภคมน กล่าวต่อว่า เจตจำนงที่รับใช้ประชาชนทำไมตอนหาเสียงพูดอย่าง ตอนเป็นรัฐบาลพูดอีกอย่าง ลืมแล้วว่าตนเองประกาศอะไรไว้ ในพรรคร่วมรัฐบาลท่านได้เปรียบอย่างเดียวคือ ท่านได้เป็นนายกฯ แต่อย่างอื่นเสียเปรียบ กลายเป็นว่าเจตจำนงเพื่อประชาชนวันนี้ไม่เหลืออะไรเลย มีเพื่อพวกพ้องอย่างเดียว ส่วนเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประชาชนเป็นเหยื่อแทบทุกวัน จนกระทั่งประเทศจีนแทบทนไม่ไหวกดดันทางการไทยและทางเมียนมาให้แก้ไข ถ้าจีนไม่กดดันเราคิดว่าจะมีเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นอีกเท่าไร สรุปแล้วว่านี้คือเจตจำนงอันแรงกล้าของนายกฯ ไทยหรือเจตจำนงในการแก้ไขปัญหาของผู้นำจีนกันแน่
นางสาวภคมน กล่าวถึงเจตจำนงในคดีตากใบย้อนกลับไปเมื่อปี 2547 รัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตรที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 85 คน กลายเป็นบาดแผลใหญ่ที่สุดของรัฐบาลนายทักษิณ ผ่านมา 20 ปี นางสาวแพทองธาร เป็นนายกฯ ซึ่งจะเป็นโอกาสในการคลายปม ความรู้สึกของประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และคลายปมความขัดแย้งที่บิดาได้ก่อเอาไว้ แต่ท่านกับรอยตัวเนื้อปัญหาทำให้โอกาสกลายเป็นวิกฤตระลอกใหม่
หนึ่งปีก่อนหมดอายุความนายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ติดตามความคืบหน้าคดีนี้จนพบว่าสำนวนได้หายไปนำไปสู่การตั้งคดีใหม่ ซึ่งขณะนั้นพลเอกพิศาล วัฒนวงษ์คีรี ในฐานะลูกพรรคของนางสาวแพทองธาร ตกเป็นจำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เราไม่เห็นเจตจำนงในการนำจำเลยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สุดท้ายก่อนคดีหมดอายุความในวันที่ 25 ต.ค.67 นางสาวแพทองธาร ในฐานะนายกฯ และประธาน ก.ตร. ปล่อยให้ผู้ต้องหาคดีตากใบหลบหนีออกนอกประเทศ เมื่อถูกสังคมกดดันกลับบอกเพียงว่า จำเลยที่ 1 ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้ว เป็นการปัดสวะพ้นตัว ทั้งที่ประชาชนถามหาความรับผิดชอบจากนางสาวแพทองธาร ในฐานะนายกฯ
ตนเองขอเตือนความจำว่า ก่อนมีหมายจับผู้ต้องหายังนั่งประชุมอยู่ในสภาฯ แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกับปล่อยให้จำเลยที่ 1 หลบหนีลอยนวล จับผู้ต้องหาไม่ได้แม้แต่คนเดียว ปล่อยให้คดีหมดอายุความคาศาล ดับความหวังญาติที่ถูกกระทำในรัฐบาลของบิดาของท่าน และถูกย่ำยีมีอีกครั้งในรัฐบาลลูกสาว
“สิ่งที่ท่านทำคือ ตีหน้าเศร้า ขอโทษต่อผู้สูญเสีย คำขอโทษไร้ค่า ไร้ความหมาย เพราะผู้พูดไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ที่มีในการอำนวยความยุติธรรม นี่คือ ความอัปยศของคนไทย ที่มีนายกฯ ขาดเจตจำนงในการคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน”
นางสาวภคมน กล่าวต่อว่าทั้งหมดไม่ใช่การจับผิดนางสาวแพทองธาร แต่การไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีเจตจำนงของนายกฯ คือรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดที่ยืนยันว่า ประชาธิปไตยกำลังถูกย่ำยีให้อ่อนแอและไร้เกียรติ สะท้อนให้เห็นโครงสร้างการเมืองไทย หากมีอำนาจต่อรองมากพอ คุณจะขึ้นมาเป็นนายกฯ ทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติเลย ต้องการดันให้ลูกสาวขึ้นเป็นนายกฯ ทดลองบริหารประเทศ แม้จะเจ๊งก็ไม่เป็นไร หากมีอำนาจต่อรองมากพอในการดีลแลกประเทศ โดยไม่สนใจหัวของประชาชนเลยก็ได้
7 เดือนที่นางสาวแพทองธารดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้อะไรไปเยอะ ได้พาพ่อกลับบ้าน ได้โปรไฟล์ ได้ยกระดับสถานะทางสังคมให้สูงขึ้นไปอีก แต่พี่น้องประชาชนต้องเสียโอกาสที่จะมีผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า เสียภาพลักษณ์ของประเทศต่อนานาชาติ เสียโอกาสที่จะได้ทวงคืนความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิตในคดีตัดไป เสียจุดยืนในหลักการสากล เสียโอกาสที่จะได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสียโอกาสที่จะได้เห็นรัฐบาลพลเรือนมีน้ำยากว่ารัฐบาล
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อาจจะไม่ได้จบลงด้วยการให้นางสาวแพทองธาร หลุดจากตำแหน่งนายกฯ ท่านอาจจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วยซ้ำ แต่ถ้าพอจะมีจิตสำนึก อยากให้คิดถึงหัวอกคนมีลูกเล็กไม่ได้ร่ำรวยและเติบโตในสังคมนี้ที่การศึกษากำลังถดถอย นึกถึงโอกาสของคนหนุ่มสาวที่เรียนจบแล้วไม่มีตลาดรองรับ นึกถึงหัวอกนักโทษการเมืองที่รอคอยความยุติธรรม โอกาสของประเทศไทยทั้งหมดแลกกับการที่นางสาวแพทองธาร เป็นนายกฯ และแลกกับความต้องการของครอบครัวเดียว
ในขณะที่คนอีกไม่รู้กี่สิบล้านคนต้องสูญเสียความหวังในชีวิต สูญเสียโอกาส พรรคเพื่อไทยมาถึงจุดที่หักหลังประชาชนขนาดนี้ได้อย่างไร ตนเองไม่อาจไว้วางใจให้นางสาวแพทองธาร เป็นนายกฯ ต่อไปได้แม้แต่วินาทีเดียว