‘ศุภจี’ โชว์นโยบาย SME ติดปีก สร้างมาตรฐานเฟรนไชน์เข้าถึงแหล่งเงินกู้
‘ศุภจี’ โชว์นโยบาย SME ติดปีก สร้างมาตรฐานเฟรนไชน์เข้าถึงแหล่งเงินกู้ พร้อมผลักดันไทยเป็น HUB ฮาลาลแถบเอเชีย ชู สินค้าการเกษตรสู่ตลาดโลกใช้แลกเปลี่ยนแทนเงินสด ยกเจรจาต่อรองซื้อเครื่องบิน – เรือรบ ดัน การบริการมูลค่าสูง ทั้งการแพทย์ – ธุรกิจด้านคอนเทนต์
วันนี้ (24 ธ.ค. 68) ที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แสดงวิสัยทัศน์ในงานแถลงนโยบายสำหรับการเลือกตั้งปี 2569 ของพรรคภูมิใจไทย ภายใต้สโลแกน “พูดแล้วทำพลัส” โดยเริ่มต้นถามคนในฮอล์ว่า “ตอนนี้เลยเวลาเที่ยงแล้ว หิวกันหรือยัง หิวหน่อยก็ดีจะได้ช่วยไปกินข้าว ให้ราคาข้าวจะสูงขึ้น ตอนนี้ข้าวเปลือกขาวอยู่ราคาเกิน 8,000 บาท“
นางศุภจี กล่าวต่อว่า ข้าวหอมมะลิเราแตะ 18,000 บาท ทั้งหมดที่ทำมาไม่ได้ใช้เงิน แต่ใช้วิธีบูรณาการหาช่องทางหาตลาดในการที่จะบรรลุเป้าหมาย ให้สามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์ หรือเพิ่มราคาสินค้าการเกษตรได้” ซึ่ง ก่อนหน้านี้ได้ฟังหลายหลายท่านพูดในหลายเทรดอาจจะจำได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ขอให้จำในเรื่องของ “เทรดพลัส”
นางศุภจี กล่าวต่อว่า ในเรื่องการค้าขายวันนี้ถูกล้อมด้วยภูมิรัฐศาสตร์มากมาย ตอนนี้โลกได้แบ่งเป็นขั้ว เป็นข้าง เป็นค่ายและมีมากมายหลายค่าย เป็น Multi polar world ดังนั้นการทำการค้าขาย ประเทศไทยต้องอยู่ในจุดที่พอดี ไปทางด้านใดด้านหนึ่งก็ไม่ได้ แต่หากทำด้านใดให้ดีพอ มีคุณค่ามากพอทุกประเทศจะมาเป็นคู่ค้าของประเทศไทย
ในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์จะทำอะไรประเทศไทยในเรื่องของภูมิเศรษฐกิจ ได้หากเราร่วมมือกันทำการค้าขายต้องทำด้วยกัน ต้องบูรณาการกัน ซึ่งก่อนหน้านี้นายเอกนิติ บอกว่าการนำงบประมาณช่วยเหลือเยียวยามาช่วยเหลือคนตัวเล็ก, ผู้สูงวัย, คนในชุมชน รวมถึงผู้ประกอบการ SME และผู้ประกอบการต่างๆ นี่คือฝั่งของการใช้ ซึ่งกระทรวงการคลังคือคนใช้ แต่กระทรวงพาณิชย์ คือ คนหาเงิน อยากให้ทุกคนมาข่วยกันหาเงินเจ้าประเทศ

นางศุภจี กล่าวต่อถึง ตัวเลขเศรษฐกิจที่ GDP ทางการเกษตรอยู่ที่ 6% ภาคอุตสาหกรรม 25% และการบริการ 66% ในภาคเกษตรเรามีแรงงานอยู่ 30% แต่หารายได้ทางด้านการเกษตรแค่ 6% ดังนั้นต้องเพิ่มผลผลิตต้องทำให้ได้มากขึ้นกว่านั้น
ส่วนเรื่องของอุตสาหกรรม 25% ก็ลดลงเรื่อยๆ ดังนั้นต้องมองหาอุตสาหกรรมใหม่เพื่อเพิ่มให้กับประเทศ และส่วนการบริการ 66% ต้องเพิ่มมูลค่าด้วยการบริการมูลค่าสูง ทั้งหมดที่พูดมาเราอยู่กับที่ไม่ได้ต้องเปลี่ยน เพราะโลกเปลี่ยนแล้ว ประเทศไทยต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน
ทั้งนี้ หากพูดเรื่องการค้าขายขอแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มส่วนตัวถนัดเรื่องของการแบ่ง ซึ่งกองแรก คือ การเชื่อมการค้าโลก เพราะโลกยุคปัจจุบัน ต้องพูดถึงห่วงโซ่อุปทาน หรือ ซัพพลายเชน จากการขายแต่ตัวสินค้า ต้องเปลี่ยนเป็นขายวัตถุดิบ ขายสารตั้งต้นเพื่อเอาไปแปรรูปต่อไป โดยต้องมองให้ครบทั้งระบบ ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ได้ดุลการค้าที่แตกต่างกัน “
ดังนั้น เราต้องไปหาข้อมูลว่าสิ่งที่ขายไปให้กับประเทศคู่ค้าสามารถไปทำประโยชน์ต่อและแปรรูปต่อเพื่อให้สามารถส่งออกไปต่างประเทศได้อย่างไร นี่คือพลัสที่ 1 เป็นวิธีเอาตัวเราไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ให้เปลี่ยนจากประเทศคู่ค้า เป็นพันธมิตร และเป็นหุ้มส่วนในการค้า
นางศุภจี กล่าวอีกว่า ในส่วนของการบริการ 66% ซึ่งหากเราขายสินค้าทางการเกษตรหรือสินค้าอุปโภคบริโภค เราต้องมีการคุยขายบริการควบคู่ไปด้วย เนื่องจากประเทศไทยมีบริการมูลค่าสูงจำนวนมาก อาทิ บริการด้านการแพทย์ ด้านธุรกิจคอนเทนท์ เพื่อเพิ่มมูลค่าบริการให้สูงขึ้น ซึ่งต้องเปลี่ยนความคิด หรือ Mindset
ส่วนประเทศที่มีเรื่องของภาษีต่างตอบแทน อย่างสหรัฐอเมริกา หรือ US TARIFF GAPS ซึ่งปัจจุบันนี้ประเทศสหรัฐอเมริกากำหนดอัตราภาษีแต่ละประเทศไม่เท่ากัน อาทิประเทศจีน อินเดีย และแคนาดา ที่มีอัตราภาษีมากกว่าประเทศไทยที่เสียเพียง 19% ดังนั้นเราต้องเจาะช่องว่าง ซึ่งเป็นโอกาสว่าอะไรเป็นปัจจัยที่เราแก้ได้ หรือแก้ไม่ได้ โดยทำในสิ่งที่เราทำได้ คือ “หาช่องโอกาสไปทำ” แต่สิ่งสำคัญของการเชื่อมการค้าโลก คือ “ต้องหาประโยชน์ร่วมให้ได้” เพื่อให้เป็นคู่ค้าที่ยั่งยืน จากคู่ค้าเป็นพันธมิตรให้เป็นหุ้นส่วน ทั้งหมด คือ การตลาดระหว่างประเทศ
สำหรับด้านเกษตรประเทศไทยต้องชูให้เกษตรกรมีความมั่นคงทางด้านรายได้ เรื่องแรกเรื่องการส่งออก ตัวเองอยากจะชวนให้มาดูว่าเราซื้ออะไรจากใครบ้าง อาทิ ซื้อเครื่องบินกริฟเพนถึง เรือฟริเกท และเครื่องบินพาณิชย์ แทนที่เราจะซื้อด้วยเงินสดอย่างเดียวต้องพูดคุยเอาสินค้าเกษตรไปแลกบ้าง ให้บ้าง โดยวางนโยบายว่าต้องไม่ซื้อด้วยเงินสดเท่านั้น โดยขอแลกแบบมีเงื่อนไข ซึ่งจะทำให้ฐานของราคาสินค้าการเกษตรสูงขึ้น เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ส่วนเรื่องการเพาะปลูก ต้องเปลี่ยนความคิดไม่ใช่ปลูกอะไรตามใจเราอย่างเดียวแต่ต้องตามใจความต้องการคนอื่นด้วย อย่างในเรื่องของข้าวที่ประเทศไทยกับอีกหลายประเทศจะสลับกันเป็นอันดับหนึ่งของการส่งออกข้าว ซึ่งปัจจุบันอย่างข้าวหอมมะลิก็ไม่ใช่ว่าทุกพื้นที่จะสามารถปลูกได้ดังนั้นต้องดูความต้องการ เพราะในบางประเทศก็ไม่ได้ต้องการเพียงข้าวหอมมะลิ ซึ่งเราต้องนำเรื่องนี้มาคิดเพื่อแข่งขันในการจัดส่งข้าวออกไปบริโภค ซึ่งต้องยอมรับว่าในหลายจังหวัดและหลายภาคของประเทศไทยก็จะมีข้าวแต่ละสายพันธุ์ที่ขึ้นชื่อ

นางศุภจี กล่าวอีกว่า ในเรื่องของเครื่องมือการผลิตเพื่อส่งออกบางชุมชนขาดเครื่องสีข้าว บางชุมชนขาดเครื่องแพคแบบสูญญากาศ หรือแม้กระทั่งบางชุมชนมีความพร้อมแต่ขาดตลาดขาดการสร้างเรื่องราว และแพ็คเก็ต ซึ่งที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 2 เดือน ได้เข้าไปช่วยเหลือประมาณ 200 ชุมชน ซึ่งหากเป็นรัฐบาลต่ออีก 4 จะสามารถไปต่อยอดได้อีกกี่ชุมชน ซึ่งนอกจากเรื่องของข้าวยังดูเรื่องของสินค้าการเกษตรอื่นๆไม่ว่าจะเป็นมันสำปะหลัง และพืชทางการเกษตรอีกมากมาย โดยเฉพาะพืชที่มีการบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือสินค้ามูลค่าสูง ทั้งนี้ในช่วงระยะเวลาที่บริหารงานมาในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการข้าว หรือ กบข. ยังได้มีการอนุมัติงบประมาณ 2000 บาทต่อไร่ โดยให้ 10 ไร่ต่อครอบครัว เพื่อให้ไปทดลองหาปลูกพืชท้ายไร่ ซึ่งที่ผ่านมายังได้มีการหาตลาดไว้สำหรับรองรับสินค้าด้วย ซึ่งผลงาน 2 เดือนที่ผ่านมาได้อนุมัติไปแล้วถึง 1,000,000 ไร่
นางศุภจี ยังกล่าวถึงนโยบายติดปีก SME สร้าง ที่จะให้ประชาชน สร้างสินค้ามูลค่าสูง ซึ่งสิ่งที่ดำเนินการอยู่ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมธุรกิจการค้าได้เน้นเรื่องการทำธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นการขยายธุรกิจโดยที่ไม่ต้องใช้เงินตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้ เรียกว่า Asset Light ในเมื่อธุรกิจของประชาชนสามารถเป็นแฟรนไชส์ได้ เมื่อเข้าสู่กระบวนการกลั่นกรองมาตรฐานได้เป็นอย่างดีแล้ว ก็สามารถที่จะเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ เป็นสิ่งที่ทำแล้ว และจะทำต่อไปอีก
นางศุภจี ได้ยกตัวอย่าง จากการไปเยืยน ซาอุดิอาราเบีย ที่มีความต้องการที่จะซื้อธุรกิจแฟรนไชส์จากประเทศไทย ซึ่งถือเป็นตัวของ Asset Light ที่จะติดปีกให้กับ SME ของเรา
ส่วน High Value คนไทยเก่ง สมองดี ฉลาด โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่เป็น Content Developer (คอนเทนต์ ดีเวลลอปเปอร์) แต่ยังไม่มีคนเข้าไปสนับสนุน ทั้งในเรื่องของทักษะ กฎระเบียบ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้น นำคอนเทนท์สิทธิบัตรที่อยู่ในหัว มาช่วยค้าขายได้
สำหรับการผลักดันสินค้า GI หรือ สินค้าบ่งชี้ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ หากเราทำให้สินค้าที่อุปโภคบริโภค เป็นสินค้าจีไอได้ มูลค่าก็จะสูงขึ้นอย่างแน่นอน หากทำเช่นนี้ได้ ก็ถือว่าการเป็นการติดปีกให้กับ SME ไทย
ส่วนภาคอุตสาหกรรมในอนาคต คือการมุ่งสร้าง New S – Curve อาทิ การท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยเป็นเป็นอย่างมาก ซึ่งเราต้องเน้นการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูง การแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวต้องอยู่ที่การสร้างความมั่นใจ ความปลอดภัยให้คนที่เข้ามา ดังนั้น เราต้องช่วยกันในลักษณะบูรณาการ ซึ่งปัจจุบันเราก็พยายามทำอยู่ อย่าง World Medical / Senior Living หัวใจสำคัญคือคนไม่ต้องเข้ามาเยอะ แต่อยู่กับเราให้นานขึ้น และใช้มากขึ้นนี่คือสิ่งที่เราจะสนับสนุนอย่างความยั่งยืน
นางศุภจี ยังกล่าวว่าถึงการสนับสนุน การเป็น Multicaster อาทิ ฮาลาล หากประเทศไทยสามารถผลักดันตัวเองให้เป็น ฮาลาลฮับในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงได้ ก็จะสามารถต่อยอดได้ธุรกิจได้ นอกจากนี้ ยังมีต่างชาติให้ความสนใจ ในเรื่องของการถ่ายทำภาพยนตร์โดยที่สหรัฐอเมริกา มาเปิดวิทยาเขตร่วมกันกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราอยากจะผลักดัน
นอกจากนี้ ยังชูนโยบาย รัฐฉับไว อนุมัติไว ไม่มีกั๊ก เป็นความตั้งใจ ที่จะทำให้รวดเร็ว ฉับไว ลดความซ้ำซ้อนของกฎหมาย ลดความยืดเยื้อ ความไม่ทันสมัย พร้อมโปร่งใสเป็นธรรมเปิดเผยข้อมูล โดยช่วงท้าย นางศุภจี ยังกล่าวติดตลก ถึง Regulatory Guillotine หรือการทบทวนกฎหมาย ที่ทำได้ไม่มาก เพราะนายกฯรีบยุบสภาไปก่อน ซึ่งต้องรออีก 4 ปีถึงจะทำได้ พร้อมทั้งดึงดูดให้ประขาชนเข้ามายังระบบภาษี เพื่อได้สิทธิประโยชน์มากกว่า หากทำเช่นนี้แล้วในทุกๆนโยบาย สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือรอยยิ้มของคนไทย แม้ว่าตอนนี้ เราจะยิ้มไม่ค่อยออกเท่าไหร่แต่ถ้าขอเวลาอีก 4 ปี พวกเรายิ้มได้สวยเเน่นอน













