‘ไชยชนก’ สั่งลบ-ระงับข้อมูลสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตฯ 1.2 ล้านราย ตั้งแต่ 14 พ.ย. เหตุ ผิดหลัก PDPA
วันนี้ (24 พ.ย. 68) นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เปิดเผยกรณีสั่งระงับและให้ลบข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน 1.2 ล้านราย กรณีสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีไม่ถูกหลักตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA)
นายไชยชนก เปิดเผยว่าประเด็นด้านข้อมูลชีวภาพเป็นข้อมูลอ่อนไหวและอาจจะกระทบกับธุรกิจ โดยบริษัทผู้ให้บริการได้แจ้งความประสงค์ไม่ครบถ้วน ระบุว่าไม่สามารถยืนยันตัวตนบุคคลได้จริง ซึ่งเป็นการประมวลข้อมูลอ่อนไหวไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งต่อผู้เข้าร่วมโครงการ เข้าข่ายการขอความยินยอมไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่ง สคส. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและเสนอต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญคณะที่ 2 ซึ่งมีคำสั่งทางปกครอง ดังนี้
1.ให้ผู้บริการและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูลม่านตา ระงับหรืองดการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบสแกนม่านตาเพื่อรับเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีเพิ่มเติมโดยทันที และรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวต่อ สคส. ภายใน 7 วัน
2.ให้ผู้ให้บริการและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ลบทำลายข้อมูลม่านตาและข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องของประชาชน จำนวน 1.2 ล้านคนทั้งหมด เพื่อป้องกันการโอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปยังต่างประเทศโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
อย่างไรก็ตามกรณีสแกนม่านตาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ได้เกิดที่ประเทศไทยที่แรก แต่มีมากกว่า 8 ประเทศที่ได้แบนการดำเนินการเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีอีก 5 ประเทศที่มีคำสั่งระงับชัดเจน ได้แก่ เยอรมนี, สเปน, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย และบราซิล ซึ่งในทุก ๆ ประเทศทำโดยกลุ่มบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกัน
ทั้งนี้จะมีการตรวจสอบเพิ่มเติม เนื่องจากตรวจพบว่ามีกระบวนการหลากหลายรูปแบบ ทั้งประชาชนส่วนมากไม่ได้รับรู้ว่าสแกนม่านตา ข้อมูลจะถูกเก็บและใช้อย่างไรบ้าง และหลายคนไม่ได้เข้าใจแนวระบบคริปโตเคอร์เรนซี บางพื้นที่มีหลักฐานว่ามีการเกณฑ์คนไปเป็นกลุ่มอยู่ที่ใต้ถุนคอนโด และมีอุปกรณ์ให้สแกนม่านตา ซึ่งจากการตรวจสอบโครงการสแกนม่านตาพบมีผลตอบแทนด้วยเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี เป็นรายเดือนไม่ใช่ตอบแทนครั้งเดียว
ดังนั้นกระทรวงดีอี จะมีการรวบรวมข้อมูลเพื่อส่งต่อให้ยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป เพื่อยกระดับมาตรฐานของกฎหมายขอใบอนุญาต รวมถึงการนำเข้าอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูล เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการกำกับดูแล ซึ่งจะมีการส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เร่งดำเนินมาตรการ
นายไชยชนก ฝากถึงพี่น้องประชาชน ขอให้เข้าใจตรงกันว่าเทคโนโลยีไม่ได้ผิด ตนเองสนับสนุนและเห็นด้วยกับวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี ในอนาคตการสแกนม่านตา เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่ขึ้นอยู่กับการใช้งานและเจตนาของผู้ที่นำเทคโนโลยีเข้ามา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่บุคคล 1.2 ล้านราย ที่มีการเก็บม่านตาไปแล้ว หากในอนาคตข้างหน้ามีวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีและมีเครื่องมือในการสร้างไอดี เช่น การล็อกอินเฟซบุ๊ก หรือการสร้างบัญชีธนาคารผ่านการสแกนม่านตา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสูงสุดเท่ากับว่าบุคคลเหล่านี้จะเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยง เพราะข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บไปแล้วและไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ถูกทำสำเนาไว้ที่ใดบ้าง
“ขอให้ประชาชนตระหนักและระมัดระวัง เพราะข้อมูลส่วนบุคคลที่หลุดไปแล้ว ไม่มีอะไรการันตีว่าจะปลอดภัย ม่านตาของท่านเปลี่ยนไม่ได้เหมือนรหัสอีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์”
นายไชยชนก ไม่สามารถยืนยันได้ว่าประชาชน 1.2 ล้านคนถูกหลอกลวงหรือไม่ โดยเส้นทางเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีที่มีการเทรดจะเป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจสอบต่อไปว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางอาชญากรรมหรือไม่ ขณะที่การตรวจสอบการลบข้อมูลทั้งหมด อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 เราตรวจสอบสินทรัพย์ที่มีอยู่ของบริษัทได้ แต่หากมีการทำสำเนาการสแกนม่านตานั้น เราไม่สามารถตรวจสอบได้
สำหรับการลบข้อมูลสแกนม่านตา เราได้ส่งจดหมายแจ้งให้หยุดดำเนินการทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา และให้รายงานคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ทราบ จะมีการปรับตั้งแต่ 500,000-5,000,000 บาท และอาจจะมีโทษจำคุกตาม พ.ร.บ. PDPA ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ที่สามารถตรวจสอบดิจิทัลฟรุตพรินต์ได้
นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้เชี่ยวชาญ ด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส) กล่าวว่า คำสั่งคือห้ามเก็บข้อมูลประชาชนอีกแล้วข้อมูลที่เก็บไปแล้วต้องลบหรือทำลาย สำหรับข้อมูลเฉพาะในส่วนที่สแกนม่านตามีการเก็บอยู่ใน 3 ประเทศ ซึ่งตามกฎหมายการโอนข้อมูลไปให้บุคคลอื่นจะต้องขออนุญาตบุคคลนั้นก่อน ตั้งแต่สแกนม่านตา แต่ในกรณีนี้ไม่มี ดังนั้นจึงมีการใช้คำสั่งทางปกครองขอให้หยุด หากฝ่าฝืนมีโทษปรับและโทษทางอาญา ซึ่งสอดคล้องกับคำพิพากษาของหลายประเทศ













