POLITICS

สภาฯ ตีตกข้อสังเกต กมธ.นิรโทษกรรม ‘พิเชษฐ์’ เดือด บอกชลน่าน “อยากเป็นก็ขึ้นมา”

ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นประธานในที่ประชุม พิจารณารายงานผลการศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ต่อเนื่องจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 ซึ่งกรรมาธิการได้รายงานและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อภิปรายอย่างครบถ้วนแล้ว เนื่องจากการประชุมครั้งที่แล้วยังมีกรรมาธิการต้องการที่จะชี้แจงอยู่ โดยกำหนดให้กรรมาธิการที่จะชี้แจงใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที

นายพงศ์ยศ ยอดเมืองเจริญ โฆษกคณะกรรมการ ชี้แจงว่า ไม่ควรที่จะรวมการนิรโทษกรรมมาตรา 112 เข้าไปอยู่ในพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่เกี่ยวกับ คดีทางการเมืองเพราะหากรวมคดีมาตรา 112 เข้าไปในพระราชบัญญัติจะก่อให้เกิดปัญหา คือ 1. ปัญหาเชิงคุณภาพ บางคดีไม่สามารถนิรโทษกรรมได้ เพราะจะกระทบกับคนบางกลุ่มที่เสียหาย 2. ปัญหาเชิงปริมาณ จากสถิติ 50,000 กว่าคดี มีคดีมาตรา 112 เพียงแค่ 1,206 คดี ดังนั้นวัตถุประสงค์คือต้องการสร้างความปรองดองในภาพรวม ดังนั้น การไม่นิรโทษกรรม 112 อาจจะเป็นทางออกในการนิรโทษกรรมทางการเมืองทั้งหมด และทำให้สังคมสันติสุขและไปด้วยกันได้ทั้งหมด

ด้าน น.ส. ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการ ชี้แจงว่า การนิรโทษกรรมมีความจำเป็นเร่งด่วนและควรจะเกิดขึ้นในยุคนี้นั่นก็คือ ในยุคที่มีพรรคการเมืองที่ประชาชนเชื่อว่าอุดมการณ์ต่างกันสุดขั้วราวฟ้ากับเหวกลับมาจับมือปรองดองแบบที่ไม่คิดว่าจะเห็นได้ในชาตินี้ แล้วทำไมการนิรโทษกรรมประชาชนจะเกิดขึ้นไม่ได้ สิ่งที่เราถกเถียงกันมากในชั้นกรรมาธิการคือการรวมคดีมาตรา 112 ไว้หรือไม่ ตนยืนยันมาตลอดว่า ความสำคัญจำเป็นเร่งด่วน ที่เราจำเป็นต้องนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองทุกคดีโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะนักการเมืองจับมือกันได้แต่ทำไมต้องมีปัญหากับการนิรโทษกรรมประชาชน การนิรโทษกรรม ไม่ใช่เป็นการแก้กฎหมาย ไม่ใช่การยกเลิกกฎหมายแต่เรากำลังรีเซ็ตให้ประชาชนได้โอกาสกลับไปเริ่มใหม่ได้ใช้ชีวิต ทำไมเราจะก้าวข้ามความขัดแย้งด้วยการนิรโทษกรรมประชาชนโดยไม่ทิ้งใครกลุ่มไหนไว้ข้างหลังโดยที่ไม่กำหนดเงื่อนไขไม่ได้

“จึงอยากชวนสส. ในที่นี้ที่ยังเคลือบแคลงสงสัยในคดีมาตรา 112 สามารถพูดคุยกันนอกรอบได้ ทุกคนจะได้เห็นใจและโหวตรับรายงานฉบับนี้และให้โอกาสประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติสักที เหมือนที่พวกท่านจับมือกันตั้งรัฐบาล” น.ส.ศศินันท์กล่าว

ขณะที่ นายชัยธวัช ตุลาธน ในฐานะกรรมาธิการ ชี้แจงว่า หากเรายังคิดว่า การนิรโทษกรรมยิ่งเป็นการส่งเสริมการกระทำผิด บ้านเมืองไม่มีกฎหมายฉะนั้น เราไม่ควรที่จะพิจารณาคดีในฐานความผิดไหนเลย ต้องทบทวนการอภัยโทษเสียด้วยซ้ำ ในทางกลับกันถ้าเรานิรโทษกรรมคดีทางการเมืองทุกคดียกเว้นคดีมาตรา 112 แน่นอนหลายคนกังวลว่าการนิรโทษกรรม คดีมาตรา 112 จะนำไปสู่การขัดแย้งครั้งใหม่ แต่ถ้าเราไม่นิรโทษกรรมคดี 112 ด้วยนั้นเราจะบรรลุเป้าหมายคลี่คลายความขัดแย้งในการสร้างความปรองดองสมานฉันทางการเมืองในปัจจุบันจริงหรือไม่ ฉะนั้นจึงควรจะมีตรงกลาง คือ การพิจารณาคดีมาตรา 112 แบบมีเงื่อนไข คือ การให้คณะกรรมการนิรโทษกรรม ที่ตั้งขึ้นมาตามกฎหมาย กำหนดเงื่อนไข กำหนดมาตรการเป็นรายคดีว่าแต่ละคดีมีรายละเอียดอย่างไรและควรให้สิทธิ์ในการพิจารณานิรโทษกรรมหรือไม่ เพื่อเป็นโอกาสในการรับฟังผู้ที่ถูกกล่าวหาและลดช่องว่างความเข้าใจให้ได้มากที่สุด

จากนั้นประธานในที่ประชุมได้เปิดให้แต่ละพรรคการเมืองอภิปรายสรุป สุดท้ายนายชูศักดิ์ ศิรินิล ในฐานะประธานกรรมาธิการ อภิปรายปิดว่า สิ่งที่สภากำลังพิจารณา เป็นเพียงรายงาน ประเด็นสำคัญคือการนิรโทษกรรมทางการเมืองที่มีเหตุจูงใจทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ส่วนที่ไม่ฟันธง การนิรโทษกรรมในคดีมาตรา 112 นั้น ชี้แจงว่า ได้สรุปในท้ายรายงานแล้วว่าเป็นประเด็นอ่อนไหว ซึ่งการเขียนแนวทางไว้ 3 ด้านนั้น เนื่องจากต้องการให้ทราบข้อมูลอย่างรอบด้าน เป็นประโยชน์ และแนวทาง ในการตรากฎหมายอย่างรอบคอบ เนื่องจาก ในสมัยประชุมหน้า จะมีร่างกฎหมายเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม 4 ฉบับ ร่าง เข้าสู่สภา เชื่อว่ารายงานดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณากฎหมาย ดังนั้นขอให้สภา รับทราบรายงาน และข้อสังเกตของกรรมาธิการ ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจ และนำเอาร่างศึกษาดังกล่าวไปประกอบในการพิจารณากฎหมายของสภาต่อไป

หลังจากสมาชิกอภิปรายครบถ้วนแล้ว ในช่วงที่จะลงมติข้อสังเกตรายงาน กมธ.นั้น นายพิเชษฐ์ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้ขอให้สมาชิกที่ไม่เห็นด้วยกับการรับข้อสังเกตรายงานของกรรมาธิการฯ ฉบับนี้ ให้เสนอเป็นญัตติขึ้นมาเพื่อให้มีการลงมติ ทำให้นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงแสดงความไม่พอใจ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า ตามข้อบังคับไม่จำเป็นต้องมีการเสนอญัตติ แค่ให้ที่ประชุมลงมติว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าวเท่านั้น จะเสนอญัตติทำไม ถ้าทำไม่ได้ให้เปลี่ยนให้รองประธานสภาฯ คนที่ 2 มาทำหน้าที่แทน ทำให้นายพิเชษฐ์สวนกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ท้าวเอวกล่าวว่า “อย่ามาชี้หน้า อยากเป็นก็ให้ขึ้นมา”

จากนั้นเวลา 16.40น. ที่ประชุมลงมติข้อสังเกตรายงาน กมธ. ปรากฏว่า ที่ประชุมลงไม่เห็นชอบข้อสังเกตกมธ.ด้วยคะแนน 270 ต่อ152 งดออกเสียง 5 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ทำให้ข้อสังเกตตกไป โดยสภาฯจะส่งเฉพาะตัวรายงานให้ ครม.เท่านั้น

Related Posts

Send this to a friend