นายกฯ ขอโทษเสียใจต่อคดีตากใบ ยัน รัฐบาลทำงานเต็มที่

แจง ถามกฤษฎีกา ปม ออก พรก.แก้ไขอายุความ แต่ทำไม่ได้ เหตุ อาจเลือกปฏิบัติ ชี้ ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของประเทศชาติ ขอ ปชช. เชื่อมั่น และร่วมมือกัน เพื่อให้เกิดความสงบสุข
วันนี้ (24 ต.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงคดีตากใบ ที่จะหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคม 67 หรือวันพรุ่งนี้ โดยก่อนอื่นได้ระบุถึงสาเหตุที่เมื่อวานนี้ (23 ต.ค.67) ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องดังกล่าว เพราะอยู่บริเวณหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบรมรูปทรงม้า ซึ่งจะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาตนเองได้กลับไปดูข้อมูลตัวเลขหลาย ๆ อย่าง โดยพอเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็รู้สึกเสียใจ กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ และเห็นว่ารัฐบาลตั้งแต่สมัย 20 ปีที่แล้ว ได้ออกมาแสดงความเสียใจ และขอโทษ ตั้งแต่ในยุคของนายทักษิณ ชินวัตร, พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 3 รัฐบาล ก็ได้ชดเชยจ่ายเงินเยียวยาให้กับครอบครัวไปแล้ว
“ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรี ในวันนี้ก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นอย่างมาก และก็ต้องขอโทษในนามของรัฐบาลว่า จะทำให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก” นางสาวแพทองธาร กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า คดีดังกล่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรัฐบาลได้เร่งรัดในการดำเนินการคดีนี้ และเมื่อเช้าได้พูดคุยถึงผลสรุปต่าง ๆ ว่ากฎหมายจะทำอย่างไรได้บ้าง
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะออกกฎหมาย พรก.แก้ไขอายุความ ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลได้ส่งเรื่องไปสอบถามสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งให้ความเห็นมาว่า กรณีดังกล่าวไม่เข้าหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการตราพระราชกำหนด มาตรา 172 และมาตรา 174 ส่วนเนื้อหาที่เป็นการต่ออายุความ เฉพาะคดี อันเป็นมาตรากฏหมายขึ้นเป็นการเฉพาะ เพื่อบังคับใช้ แก่คดีดังกล่าว ไม่ได้มุ่งขยายอายุความ ในคดีลักษณะเดียวกันเป็นการทั่วไป จึงไม่สอดคล้องกับมาตรา 26 วรรค 2 ทั้งยังอาจเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลตามมาตรา 27 วรรค ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และหลักกฏหมายอาญาสากล สรุปคือ การออก พรก.อายุความในคดีดังกล่าว จึงไม่เข้าเกณฑ์
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคน รวมถึงรัฐบาลเองตระหนักถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพราะไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่สงบสุข ไม่อยากให้ทุกฝ่ายต้องเกิดความขัดแย้ง ซึ่งกันและกัน และขอให้ทุกคนพยายามอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้ ซึ่งรัฐบาลก็เต็มที่ในเรื่องนี้เช่นกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการรับมือหลังคดีจากใบหมดอายุความ ว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ไม่ว่าจะเป็นหมายศาลฯ หรืออะไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานความมั่นคง ก็ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ในการดูแล และค้นหาผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดี ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นล่าสุดที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ซึ่งตนเองได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ยังไม่มีผู้เสียชีวิต หรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่อยากให้โยงเรื่องความรุนแรงนี้ กับเรื่องการเมือง และไม่อยากให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก พร้อมย้ำว่า ไม่อยากให้โยงเรื่องนี้ไปเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งมาตรการคุมเข้มความปลอดภัย จริง ๆ ความปลอดภัยของทุกคนในประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างตอนนี้หน่วยงานความมั่นคง กระทรวงกลาโหม ที่ได้พูดคุยกันก็ได้ดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และพยามตรึงกำลังเรื่องนี้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่าจะสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่อย่างไร เพื่อให้กลับมาไว้ใจรัฐบาล เพราะชาวบ้านหวังพึ่งกระบวนการยุติธรรม นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีก็รู้สึกเสียใจ และเชื่อว่า นายกรัฐมนตรีท่านอื่น ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาก็รู้สึกเสียใจเช่นเดียวกัน เพราะเป็นคนไทยเหมือนกัน และที่ผ่านมาได้มีการเยียวยา และรับผิดชอบในสิ่งที่สามารถทำได้ ซึ่งตนก็จะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดเช่นกัน และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากจะเกิดความสามัคคีได้ ก็ต้องอาศัยทุก ๆ ฝ่ายร่วมมือกัน เพื่อจะให้เกิดความสงบสุขนี้ เพราะฉะนั้นในส่วนของรัฐบาลก็จะทำอย่างเต็มที่ และอยากให้พี่น้องประชาชนทุกคนไว้ใจว่า รัฐบาลมาอยู่ตรงนี้ ที่อยากทำให้ประชาชนสบายใจ และสงบสุข ซึ่งนั่นคือ เป้าหมายสำคัญ
ส่วนกดดันหรือไม่ที่เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยนายทักษิณ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ก็ได้มีความรับผิดชอบแล้ว และได้มีการพูดคุยกันในหลายฝ่าย ซึ่งในสมัยรัฐบาลนี้ตนเองก็ต้องทำหน้าที่ ให้ดีที่สุดในทุกที่ของประเทศไทย อย่างสุดความสามารถ หากพื้นที่ตรงไหนมีประเด็นอะไรก็ต้องดูแลจัดแจง ในแต่ละพื้นที่ หากถามว่า กดดันหรือไม่ มันไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของประเทศชาติ และการดูแลทุกคนในประเทศ ดังนั้นไม่ว่าจะหัวข้อไหนก็ต้องดูแล อย่างเต็มที่ในทุกพื้นที่
ส่วนที่ในวันพรุ่งนี้จะหมดอายุความ จะทำให้อุณหภูมิในเรื่องนี้ลดลงได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างที่บอกความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่อยากให้โยงกับประเด็นทางการเมือง เพราะว่าในเรื่องของคดีตากใบ ได้รับการเยียวยาและการพูดคุย ทุกคนได้พยายามอย่างสุดความสามารถ ในการดูแลปัญหาและดูแลจิตใจ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนในเรื่องอื่น ๆ ไม่อยากให้อะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของคดีนี้ เป็นตัวเสริมที่จะทำให้เกิดความรุนแรง ซึ่งขอให้ไม่เป็นเช่นนั้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงทนายฝ่ายโจทก์ มีการหารือกันว่า หากพึ่งพากระบวนการยุติธรรมของไทยไม่ได้ ก็จะนำไปฟ้องศาลโลก ว่า คดีนี้อย่างที่เราเห็นมันเกิดมา 20 ปี จนถึงทุกวันนี้ก็มีการฟ้องร้องเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ซึ่งจริง ๆ แล้วมีหลายประเด็นประกอบกัน ตนเองคงตอบได้แค่นี้ และคิดว่าศาลก็ได้ทำหน้าที่ และมีการตัดสินไปแล้วก่อนหน้านี้
เมื่อถามถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาศึกษาและเสนอแนวทาง การส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีข้อเสนอ หลังคดีหมดอายุความ ให้รัฐบาลเยียวยาเพิ่มเติม มีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เดี๋ยวคงต้องไปพิจารณากัน ต้องไปดูว่าตอนนั้นเขาจบกันแบบไหน เมื่อ 20 ปีที่แล้วได้มีการเยียวยา ในทุกครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทั้งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต เพราะฉะนั้นต้องไปดูว่า มีอะไรเพิ่มเติม ที่เราจะสามารถพูดคุย หรือทำอะไรได้ เพราะแน่นอนว่าเราไม่อยากให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นก็สามารถพูดคุยได้
ส่วนนายกรัฐมนตรีจะมีโอกาสลงไปในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่
นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า ถ้ามีโอกาสจะลงไปในพื้นที่ชายแดนใต้อย่างแน่นอน ทุกพื้นที่ของประเทศไทย ก่อนหน้าที่จะมีเรื่องนี้ฟ้องมาใหม่ด้วยซ้ำ ก็ต้องลงไปในทุกพื้นที่อยู่แล้ว ซึ่งต้องดูเรื่องสถานที่ด้วย และหาเวลาที่เหมาะสม ว่าจะไปที่ไหนอย่างไร ก่อนหรือหลัง
เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะมีผลต่อการเจรจา ของคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าทุกฝ่ายก็ทำหน้าที่ ของตัวเองอย่างเต็มที่ คณะกรรมการก็เช่นกัน ก็จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดความสงบสุขต่อไป และรัฐบาลก็เช่นกัน
ส่วนความคืบหน้าในการจับกุมผู้ต้องหานั้น ตอนนี้ไม่ได้มีความคืบหน้าอะไร แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า ได้มีการทำอยู่ และไม่มีคำตอบเพิ่มเติม
เมื่อถามถึงมาตรการที่จะมีต่อพลเอกพิศาล วัฒนวงษ์คีรี หากเดินทางกลับมาประเทศไทยหลังคดีหมดอายุความ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงต้องพูดคุยกัน อย่างที่เห็นว่าขณะนี้พลเอกพิศาล ก็ได้ลาออกจากพรรคเพื่อไทยแล้ว และไม่มีใครได้คุยกับพลเอกพิศาลเลย เดี๋ยวรอดูว่าจะยังไง แต่แน่นอนว่า ประเด็นที่สำคัญ มันไม่อยากให้เกิดเรื่องอยู่แล้ว เพราะอะไรที่สามารถเจรจาพูดคุยได้ ก็ต้องทำอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะกลับมาว่ากัน ต้องมีการไปข้างหน้าอยู่แล้ว หรือพยายามทำให้ย่อปัญหาลง
เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยเรื่องนี้กับคณะที่ปรึกษาหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้ปรึกษาตลอด และถามด้วยว่า ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วทำไมเหตุการณ์จบไปแล้วกลับมาอีกวันนี้ ก็คุยทั้งหมด เพราะอยากได้ความคิดเห็นจากหลายๆฝ่าย และคนหลายช่วงอายุด้วย
เมื่อถามถึงกรณีที่พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เคยระบุว่า เรื่องนี้ต้องรอปาฏิหาริย์ที่จะสามารถนำตัวผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดี ในฐานะรัฐบาลเรื่องนี้จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “เราทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ ปาฏิหาริย์หรอ มันต้องใช้เรื่องจริง”