‘ณัฐวุฒิ’ มองคณะราษฎร 2475 กับ 2563 มีอุดมการณ์เดียวกัน
‘ณัฐวุฒิ’ มอง 90 ปีอภิวัฒน์สยาม ไม่ใช่ “ชิงสุกก่อนห่าม” แต่ชนชั้นนำ “ชิงห่ามไม่ยอมสุก” มองคณะราษฎร 2475-2563 เป็นคนเดียวกันในเชิงอุดมการณ์ หวังฉลอง 91 ปี 2475 โดยมีรัฐบาลชุดใหม่
วันนี้ (24 มิ.ย. 65) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ขึ้นกล่าวบนเวทีงาน 90 ปีแห่งการอภิวัฒน์สยาม “อุดมการณ์เพื่อชาติและราษฎรไทย” ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยเริ่มกล่าวว่า “ในการต่อสู้ที่ผ่านมา ผมเคยถูกมองว่าการศึกษาน้อย แต่วันนี้ผมได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว”
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ผลของการปฏิวัติสยามเมื่อ 90 ปีที่แล้วได้เปลี่ยนแปลงสังคมไทยมาในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ว่าใครจะลากประเทศไทยแถวหลังไปเช่นไร แต่จะไม่มีใครไม่ว่าจะมีอำนาจอย่างไร ฆ่าคนไปกี่คน จะลากประเทศไทยถอยหลังไปไกลกว่าเส้นที่คณะราษฎรได้ขีดไว้ นั่นคือการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงการต่อสู้ก่อนหน้าคณะราษฎรคือ ร.ศ. 103 ที่กำเนิดคำว่ารัฐธรรมนูญขึ้นครั้งแรก พร้อมกับนักเขียนสามัญชนคือ ก.ส.ร.กุหลาบ และเทียนวรรณ ที่ถือเป็นปฐมบทของชะตากรรมสามัญชนที่บังอาจตั้งคำถามต่อชนชั้นนำ ตลอดจนเหตุการณ์ตุลาคม พ.ศ. 2519 และพฤษภาทมิฬ ที่มีผู้ชุมนุมเรียกร้อง เสียชีวิตบนท้องถนน และท้ายที่สุดคือการชุมนุมเคลื่อนไหวของน้องๆ คณะราษฎร
“ผมมองว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกัน สายธารแห่งการต่อสู้และประวัติศาสตร์นี้ถูกมองเป็นเรื่องเดียวกัน คนเหล่านี้สู้ในอุดมการณ์เดียวกัน ยืนในจุดยืนอย่างเดียวกัน กล้าหาญ เสียสละ เพื่อชัยชนะของประชาชนในแต่ละยุค แต่ละสมัย เหมือนกัน” นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้คนต่างยุคสมัยยืนบนจุดยืนเดียวกัน เข้าใจได้ว่ามีเหตุผลสำคัญคือ องค์ความรู้ เนื่องจากประชาชนประเทศนี้ถูกกำหนดให้เรียน ถูกกำหนดให้รู้ ตามที่ชนชั้นนำประเทศนี้กำหนดไว้ แต่พอคนเข้าถึงความรู้ที่ไม่เหมือนจากกรงครอบทางปัญญา การเปลี่ยนแปลงจึงกำเนิดขึ้นได้
“ผมยืนยันด้วยเกียรติและชีวิตว่า ผู้คนในปี 35 พวกเขาไม่ได้โง่ พวกเขามาเพราะเข้าใจว่ามันปล่อยอย่างนี้ไม่ได้อีกต่อไป ให้คนทั้งประเทศเข้าใจว่าเขาลุกขึ้นออกมาจากผืนนามายืนในมหานครแล้วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เช่นกันกับลูกหลานเราในปี 63 ก็ออกมาเพราะเขารู้ เห็นว่าสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมมีค่าและความหมายจริงต่อผู้คนในสังคม ไม่ใช่มืดบอดหรือไม่รู้” นายณัฐวุฒิ กล่าว
นอกจากนี้ นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวว่ามีปัจจัยอื่นที่ช่วยให้เกิดการต่อสู้ทางอุดมการณ์ คือ โลกของเทคโนโลยีที่ทำให้ข้อมูลข่าวสารส่งถึงกันได้กว้างขวาง และจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ต่อสู้สามารถส่งผ่านกันได้
“คณะราษฎรในปี 2563 จึงเป็นกลุ่มคนเดียวกันกับคณะราษฎรในปี 2475 ในทางจิตวิญญาณอุดมการณ์ในสังคมไทย บ้านเมืองนี้ควรเปลี่ยนปปลงไปตามวิถีทางและสังคมมนุษย์มานาน แต่ที่สูญเสียกันทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะ 90 ปีที่แล้วประชาชนชิงสุกก่อนห่าม แต่เพราะชนชั้นนำยังชิงห่ามไม่ยอมสุก ดังนั้น เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องบ่มให้สุกไปด้วยกัน” นายณัฐวุฒิ กล่าว พร้อมทั้งยืนยันว่าจุดสิ้นสุดคือชัยชนะต้องเป็นของประชาชน
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงการเมืองในปัจจุบันว่า จากการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ผ่านมา จะเห็นว่าการเลือกตั้งมันคือคำตอบข้อใหญ่ที่จะพาสังคมเดินไปข้างหน้าได้ ถ้ากติกาเป็นธรรม ประชาชนตัดสินใจร่วมกัน มันเดินหน้าไปได้ การเลือกตั้ง กทม. จึงเป็นหมุดหมายของอนาคต และหวังใจว่าการเลือกตั้งที่จะมาถึงจะนำพาหลักการประชาธิปไตยกลับสู่สังคมไทยได้อีกครั้ง
นายณัฐวุฒิ กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ยังมองไม่ออกว่าปีหน้า 91 ปี ของวาระนี้จะเป็นอย่างไร แต่ที่ทราบแน่ คือการจะมีรัฐบาลใหม่ที่เราจะฉลอง 91 ปี 24 มิถุนายนไปด้วยกัน หลายคนอาจบอกว่าไม่น่าดูหากมีอำนาจใดมาแทรกแซงรัฐบาลหน้า แต่ผมบอกว่า ก็ลองดูสิ น่าดู
“จึงขอคารวะคณะราษฎร 2475 ว่า ถ้าหากไม่มีพวกท่านในวันนั้น จะไม่มีพวกผมในวันนี้” นายณัฐวุฒิ กล่าว
เรื่อง: ณัฐนนท์ เจริญชัย
ภาพ : ศุภสัณห์ กันณรงค์













