‘สิทธิพล’ จี้รัฐตรวจเข้มนอมินี หวั่นซ้ำรอยตึก สตง. ถล่ม ชี้ 5 ปี ทุนจีนพรึ่บ 600 บริษัท
วันนี้ (24 เม.ย. 68) ที่อาคารรัฐสภา นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากิจ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีอาคารถล่มของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยเฉพาะประเด็นการถือหุ้นของบริษัทผู้ก่อสร้าง
นายสิทธิพล ระบุว่า กมธ. กำลังติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และมีข้อมูลเบื้องต้นที่เชื่อได้ว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคาร สตง. มีการใช้คนไทยเป็นนอมินีในการถือหุ้น ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ.) ได้ควบคุมตัวผู้เกี่ยวข้องบางส่วนแล้ว โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน กมธ. ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ดีเอสไอ. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสภาวิศวกร เข้าให้ข้อมูล
ประธาน กมธ. การพัฒนาเศรษฐกิจ แสดงความเห็นว่า การเริ่มต้นธุรกิจโดยพยายามหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายผ่านนอมินี มักนำไปสู่การกระทำผิดกฎหมายในด้านอื่น ๆ ตามมา เช่น การควบคุมมาตรฐานการก่อสร้าง หรือคุณภาพวัสดุ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องตรวจสอบต่อไปในกรณีอาคาร สตง.
นายสิทธิพล เสนอแนะว่า รัฐบาลไม่ควรจำกัดการตรวจสอบเฉพาะกรณีอาคาร สตง. เท่านั้น แต่ควรขยายผลไปยังอาคารอื่น ๆ ที่อาจก่อสร้างโดยบริษัทที่มีลักษณะเป็นนอมินี เนื่องจากพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะบริษัทที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นคนไทย 51% และสัญชาติจีน 49% ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 500-600 บริษัท (ปีล่าสุดปีเดียวมีกว่า 300 บริษัท) ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่ากรณีของ สตง. อาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง จึงเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบบริษัทรับเหมาอื่น ๆ อย่างจริงจัง โดยถอดบทเรียนจากเหตุการณ์นี้เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
เมื่อถามถึงบทบาทของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ในการตรวจสอบความผิดปกติของบริษัททุนจีน นายสิทธิพล ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมา DBD อาจทำหน้าที่เพียงรับจดทะเบียนตามเอกสาร หากเข้าเกณฑ์ตามกฎหมายก็อนุญาต โดยอาจไม่ได้ตรวจสอบเชิงลึก อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จำเป็นต้องทบทวนแนวทาง เพราะปัญหาเรื่องนอมินีไม่ใช่เรื่องใหม่และไม่ได้จำกัดเฉพาะธุรกิจก่อสร้าง แต่ยังพบในภาคเกษตรและภาคการศึกษาที่มีการใช้ช่องทางวีซ่าเข้ามาประกอบธุรกิจ รัฐบาลจึงต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง หลังจากการละเลยปัญหานี้มานาน
สำหรับข้อกฎหมายปัจจุบัน นายสิทธิพล มองว่ามีความครอบคลุมเพียงพอ แต่ปัญหาอยู่ที่การขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงาน เช่น DBD อาจไม่มีอำนาจตรวจสอบเส้นทางการเงินของนอมินี ซึ่งถูกมองว่าเป็นหน้าที่ของ ดีเอสไอ. ขณะที่ ดีเอสไอ. อาจเข้ามาตรวจสอบได้เมื่อพบว่าเป็นคดีอาชญากรรมอื่นเชื่อมโยง เช่น กรณีที่นอมินีที่ถูกจับกุมมีความเกี่ยวข้องกับเว็บพนันหรือคอลเซ็นเตอร์ ประธาน กมธ. การพัฒนาเศรษฐกิจ เห็นว่ารัฐบาลควรมีมาตรการเชิงรุกในการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินทุน ไม่ควรรอให้เกิดคดีอื่นก่อน เช่นเดียวกับกรณีการซื้อที่ดิน ที่กรมที่ดินตรวจสอบเพียงความเป็นบริษัทไทยของผู้ซื้อ แต่ไม่ได้ตรวจสอบที่มาของเงินทุน
นายสิทธิพล กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้รัฐบาลจะระบุว่าได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขปัญหาแล้ว แต่ก็อาจเป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นจากปัญหาบริษัทนอมินี












