กมธ.เศรษฐกิจ ถกปมเยียวยาแผ่นดินไหว ‘ศุภณัฐ’ ขอนายกฯ ขยายเดดไลน์-ปรับเกษณ์พิจารณา
วันนี้ (24 เม.ย. 68) คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากิจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาเรื่องการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว
ภายหลังการประชุม นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ในฐานะ กมธ. เปิดเผยว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าสั่งการให้ทบทวนหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยา เพื่อให้สอดคล้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ กมธ. ได้ติดตามประเด็นปัญหาในกระบวนการเยียวยา พบว่ามีความยุ่งยากจากการใช้เอกสารจำนวนมาก กำหนดให้ต้องแจ้งความก่อนไปติดต่อสำนักงานเขต ขั้นตอนกรอกแบบฟอร์มซับซ้อน และไม่มีระบบการยื่นคำขอออนไลน์ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายแฝง หรือค่าโสหุ้ย ทั้งแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ต้องเดินทางเพื่อจัดการเอกสารและประเมินความเสียหาย อาจสูงถึงราว 1,000-2,000 บาทต่อราย
นายศุภณัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า เงินเยียวยาที่ประชาชนได้รับในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำเกินไป และครอบคลุมเพียงค่าวัสดุ ไม่รวมค่าแรงในการซ่อมแซม
กมธ. การพัฒนาเศรษฐกิจ จะหารือถึงที่มาของหลักเกณฑ์ปัจจุบัน และพิจารณาแนวทางปรับปรุงแก้ไข สำหรับการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องของกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์เพื่อเพิ่มวงเงินเยียวยานั้น สส.กทม. พรรคประชาชน ระบุว่า รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ในระดับกระทรวง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือสภาฯ เพียงรัฐมนตรีทบทวนตามขั้นตอนปกติก็สามารถออกมาเป็นหลักเกณฑ์ใหม่ได้
สส. พรรคประชาชน ยังตั้งข้อสังเกตถึงหลักเกณฑ์ปัจจุบันที่จำกัดวงเงินเยียวยาครอบครัวละไม่เกิน 49,500 บาท ว่าในทางปฏิบัติ ผู้เสียหายจำนวนมากที่ประเมินความเสียหายหลักแสนบาท กลับได้รับเงินช่วยเหลือเพียงไม่กี่พันบาท พร้อมตั้งคำถามว่าต้องเสียหายรุนแรงระดับอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือไม่จึงจะได้รับเงินเต็มเพดาน กมธ. ผู้นี้เชื่อว่าเจตนารมณ์ของสภาฯ คือต้องการให้รัฐบาลชดเชยผู้เสียหายอย่างแท้จริง แต่หลักเกณฑ์ที่ออกมากลับมีลักษณะกดราคา ทำให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์
ประเด็นเรื่องกำหนดเวลายื่นขอรับการเยียวยาที่จะสิ้นสุดในวันที่ 27 เม.ย. นี้ นายศุภณัฐ เปิดเผยว่า กมธ. จะเสนอขอขยายเวลาออกไปอีกประมาณ 1 เดือน เนื่องจากยังมีประชาชนบางส่วนไม่ทราบข้อมูลหรือไม่พร้อมดำเนินการ หากไม่สามารถขยายเวลาได้ รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งประชาสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม เงินชดเชยที่ประชาชนได้รับขณะนี้ ซึ่งบางรายได้รับเพียง 700, 300 หรือ 40 บาท ไม่สอดคล้องกับความเสียหายจริง ทำให้หลายคนลังเลที่จะยื่นคำขอ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลสร้างความชัดเจนว่าจะสามารถปรับปรุงหลักเกณฑ์ได้ทันภายในวันที่ 27 เม.ย. หรือไม่ และหากมีการปรับปรุงจะสามารถบังคับใช้ย้อนหลังกับผู้ที่ยื่นคำขอไปแล้วได้หรือไม่
ส่วนความกังวลว่าการจ่ายเงินเยียวยาอาจล่าช้าเกินกรอบเวลา 90 วัน เนื่องจากมีผู้เสียหายกว่า 40,000 ราย แต่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้เพียงราว 1,000 รายนั้น นายศุภณัฐ มองว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากข้อจำกัดที่เจ้าหน้าที่โยธาต้องลงพื้นที่ตรวจสอบทุกกรณี ซึ่งอาจแก้ไขได้โดยอนุญาตให้ผู้ที่เสียหายไม่มาก สามารถส่งหลักฐานเป็นวิดีโอแทนการตรวจสอบ ณ สถานที่จริง เพื่อลดขั้นตอนและเร่งกระบวนการ โดยยกตัวอย่างในพื้นที่เขตจตุจักรที่มีผู้เสียหายราว 5,000 ราย ซึ่งอาจจำเป็นต้องพิจารณาใช้บริการจากภายนอก (เอาท์ซอร์ส) เข้ามาช่วยดำเนินการ
เกี่ยวกับการตรวจสอบอาคาร สตง. นายศุภณัฐ ระบุว่า พรรคประชาชนได้มอบหมายให้ นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ ตรวจสอบด้านโครงสร้างเป็นหลัก ส่วนตนเองดูแลด้านการเยียวยา โดยมีการประสานข้อมูลกันตลอด พร้อมกันนี้ได้กล่าวชื่นชมการบริหารจัดการสถานการณ์และการสื่อสารของกรุงเทพมหานคร ณ บริเวณพื้นที่รื้อถอนว่าทำได้ดี แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ยากและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อย่างไรก็ดี กมธ. ผู้นี้แสดงความกังวลว่า การสืบหาข้อเท็จจริงและการรวบรวมพยานหลักฐาน ณ สถานที่เกิดเหตุ อาจได้รับผลกระทบหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้แบ่งหน้าที่และประสานงานกันอย่างชัดเจน
นายศุภณัฐ ทิ้งท้ายเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดการเยียวยาให้สอดคล้องกับความเสียหายจริง และปรับปรุงกระบวนการในอนาคต โดยนำระบบออนไลน์มาใช้และลดภาระด้านเอกสาร เพื่อให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ












