‘พิธา’ รอได้อีก 9 ปีหวนคืนเวทีการเมือง
ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ‘พิธา’ รอได้อีก 9 ปีหวนคืนเวทีการเมือง หวังคดีหุ้นไอทีวีเป็นเครื่องเตือนใจผู้มีอำนาจ ไม่ทำอะไรตามใบสั่ง
วันนี้ (23 ก.ค. 68) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กับ The Reporters ต่อกรณีที่มีผู้มาเปิดเผยเรื่องพิรุธในการดำเนินคดีการถือครองหุ้นไอทีวีของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า 2-3 วันมานี้ มีคนพูดถึงเรื่องกระบวนการไต่สวน โดยเฉพาะคณะอนุกรรมการสืบสวนไต่สวนและ กกต.ชุดใหญ่ ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่ได้รับการถามมาจากผู้เชี่ยวชาญคณะกรรมการการเลือกตั้งจากเวเนซุเอลา เขาถามว่าก่อนชงเรื่องขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลฎีกา ได้เปิดโอกาสให้เข้าชี้แจงหรือไม่ ซึ่งตนเองก็บอกว่าไม่มี มีเพียงการชี้แจงผ่านเอกสาร ตนเองมั่นใจว่า ทั้งเรื่องยุบพรรคหรือคดีหุ้นไอทีวี ถ้าเปิดโอกาสให้ได้ชี้แจงเต็มที่ตามระเบียบ กกต.ก็จะจบได้
ยกตัวอย่างการใช้มาตรา 112 เป็นนโยบายการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล กกต.ก็บอกว่าไม่ผิด ขณะที่อีกพรรคหนึ่ง มี สส.รุ่นใหญ่ไปปราศรัยที่ภาคใต้ดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องในการหาเสียงกลับถูกเตือน แต่เราไม่โดนเตือน แม้กระทั่งนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทย กกต.ก็เตือนเรื่องที่มาที่ไป หากตนเองมีโอกาสชี้แจงคดีหุ้นไอทีวีตั้งแต่ชั้น กกต.ก่อนจะไปที่องค์กรอิสระก็อาจจะจบ ตอนนี้ก็อาจจะได้ทำหน้าที่การเมืองอยู่ก็เป็นได้
ตนเองเคยพูดไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.66 กรณีที่คณะอนุกรรมการสืบสวนไต่สวนกลับไปกลับมา แต่ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาแล้ว คดีหุ้นไอทีวีจบไปแล้ว จากนี้คงต้องดูข้อกฎหมายว่าจะทำอะไรได้บ้าง สิ่งหนึ่งที่ตนเองรู้สึกเบาและไม่เป็นภาระคือ ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้ว ข้อดีคือ จะได้ทำให้เป็นเยี่ยงอย่างว่า ไม่สามารถทำอะไรตามใจใบสั่ง จะทำได้แค่ไหนต้องดูว่ากฎหมายไทยอนุญาตมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าจะทำให้ผมได้กลับมาเป็นนายกฯ ก็ต้องคิดหนักหน่อย เนื่องจากผมเป็นคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง คนก็อาจจะคิดว่าผมแค่หิวอำนาจ แต่ถ้าผมชนะก็น่าจะได้สั่งสอนคนที่มีอำนาจที่ไม่มีคนถ่วงดุลและไม่รับผิดรับผิดชอบไปในตัว ไม่ใช่กลับไปกลับมาภายใน 2-3 วัน ตั้งคณะอนุกรรมมาธิการมาพิจารณา แต่พอถึงเวลาก็มาคว่ำโดยไม่อธิบายเหตุผล
นายพิธา กล่าวต่อว่าตนเองคงไม่ได้เรียกร้องสิทธิส่วนตัว แค่อยากทำให้นิติธรรมนิติรัฐเกิดขึ้น จึงต้องดูที่กฎหมายระหว่างประเทศเพราะหลักนิติธรรมสามารถใช้ได้ ซึ่งมีกรณีตัวอย่างประธานาธิบดีของประเทศบราซิลที่เคยถูกศาลตัดสินไม่ให้ลงเลือกตั้งประธานาธิบดี เขาก็ยื่นเรื่องไปถึงสหประชาชาติ และเขาก็กลับมามีสิทธิ เข้าใจว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีขนาดนั้น ตนเองแค่แสดงให้เห็นว่ามีช่องทางที่ให้เห็นถึงความโปร่งใส สะท้อนถึงการใช้ดุลยพินิจโดยไม่มีการถ่วงดุลหรือไม่
”ทำอย่างไรให้มันเป็นเยี่ยงอย่างสั่งสอน ผมไม่รีบ ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม อีก 9 ปี ผมรอได้ แต่สำหรับคนต่อไปจะได้ไม่สะดุดกันทุกปี ‘พิธา’ ไป ‘เศรษฐา’ ต่อ ‘อิ๊งค์’ ต่อ ไม่เช่นนั้นก็ไปไม่ได้สักที“
นายพิธา ทิ้งท้ายว่าไม่ได้คาดหวังว่าจะกลับมาเป็นนายกฯ ได้ เพียงแค่อยากให้กรณีของตนเองเป็นกรณีศึกษาและเครื่องเตือนใจให้ผู้มีอำนาจ ไม่ใช่จะใช้อำนาจได้ตามดุลยพินิจ พร่ำเพรื่อ ไม่ระมัดระวัง












