POLITICS

‘ธนาธร’ เผย ‘พิธา-ปิยบุตร’ ไม่ได้สร้างกระแส ขัดแย้งจริง ชี้ เคลียร์ใจเรียบร้อย

‘ธนาธร’ เผย ‘พิธา-ปิยบุตร’ ไม่ได้สร้างกระแสแต่ขัดแย้งจริง ชี้ เคลียร์ใจเรียบร้อย พร้อมเชียร์ก้าวไกลเต็มที่ ปัดเอี่ยวดราม่า ‘พิธา-ปิยบุตร’ เผย ตนเองแค่ไปร้องเพลง

วันนี้ (23 ก.พ. 66) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงกรณีความขัดแย้งภายในพรรค ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่มีการโพสต์เฟซบุ๊กโต้ตอบกันเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา

นายธนาธร กล่าวถึงสาเหตุการกระทบกระทั่งกันของนายพิธาและนายปิยบุตรว่า เกิดจากความไม่เข้าใจกัน และความคิดเห็นที่แตกต่างกันในการทำงานหลายเรื่อง รวมถึงรับฟังคำพูดจากคนอื่นมา อีกทั้งหลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ นายปิยบุตร ก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าไปพบปะเพื่อนในพรรคเท่าไร จึงเกิดระยะห่างระหว่างกันมากขึ้น สิ่งเหล่านี้จึงน่าจะเป็นต้นเหตุของการกระทบกระทั่งที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เป็นเหตุการณ์ที่ดีที่ทั้งสองคนจะเรียนรู้และเติบโตต่อไป เพราะทั้งสองก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะยอมถอยกันคนละเก้า และปรับความเข้าใจกัน มองผลประโยชน์ของสังคมมากกว่าเรื่องอัตตาส่วนตน

“ดีใจที่เห็นทั้งสองคน ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นบุคลากรที่สำคัญต่อการผลักดันประชาธิปไตยในประเทศ กลับมาจับมือทำงานร่วมกัน ทำให้พรรคก้าวไกลเดินหน้าอย่างมีพลัง” นายธนาธร กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากกรณที่ทั้งสองคืนดีกันนั้น เป็นเพราะนายธนาธรด้วยหรือไม่ ที่มาช่วยไกล่เกลี่ยให้ได้พบกันเมื่อคืนที่ผ่านมา นายธนาธรตอบว่า ไม่ใช่ ตนเองแค่ไปร้องเพลง

เมื่อผู้สื่อข่าวถึงถามถึงรายละเอียดเหตุการณ์ความไม่เข้าใจกันของนายพิธาและนายปิยบุตร นายธนาธร ตอบว่า ให้ไปถามเจ้าตัวทั้งสองเองน่าจะดีกว่า แต่ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องของวิธีการทำงานและความคิดความอ่านที่มีต่อสถานการณ์บ้านเมืองที่แตกต่างกัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีความคิดเห็นอย่างไรต่อสถานการณ์ภายในพรรคก้าวไกล นายธนาธร ตอบว่า ไม่มีพรรคการเมืองใดสมบูรณ์แบบ ทุกพรรคการเมืองก็ต้องปรับปรุงพัฒนา ซึ่งพรรคก้าวไกลมีความชัดเจนว่าการสร้างพรรคมาจากสมาชิกพรรคและประชาชน ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มทุนใด ๆ เพื่อให้เป็นอิสระในการทำงาน เพื่อที่จะทำหน้าที่ในนามของประชาชนอย่างเต็มที่ จึงเป็นรูปแบบการสร้างพรรคที่เปิดมาก ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงาน ทั้งจากสมาชิกพรรค ทีมจังหวัด หรือผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งทางพรรคก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวต่อไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยต้องการแข่งขันกันในลักษณะใด จากกรณีที่นายปิยะบุตรออกมาเปรียบเทียบทั้งสองพรรคอยู่บ่อยครั้ง นายธนาธรตอบว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในการเลือกตั้ง ทุกพรรคการเมืองต่างก็ต้องการแย่งชิงทุกคะแนนเสียง จึงเป็นคู่แข่งกันโดยธรรมชาติ แต่สิ่งที่สำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้คือการหยุดพรรคทหารจำแลงมากกว่า

“ทั้งคุณประยุทธ์ และคุณประวิตร เป็นผู้นำทางการเมืองที่มาจากการทำรัฐประหารในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งหลังจากที่อยู่มาครบสองสมัยแล้วก็เสพติดอำนาจ ตั้งใจสืบอำนาจต่อ แล้วสร้างพรรคทหารจำแลงขึ้นมา รูปแบบภายนอกดูเหมือนเป็นพรรคการเมืองประชาธิปไตย แต่โดยรากเหง้าแล้วมาจากการทำรัฐประหาร และเป็นที่ชัดเจนว่าในสมัยก่อน คุณประยุทธ์ดุด่า และดูถูกนักการเมืองทุกวัน แต่วันนี้กลับเป็นซะเอง” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มทุนสีเทาที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไว้ในสภา ก็เป็นคนใกล้ชิดของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังเห็นการทุจริตในกองทัพ การสร้าง IO บิดเบือนข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ประชาชนเกลียดชังกันเองเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของผู้นำภาคประชาสังคม ซึ่งเกิดจากบทบาทการทำงานของรัฐบาลที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของพลเอกประยุทธ์ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา

“จะเห็นได้ว่าการทำรัฐประหาร แก้ปัญหาของประเทศอะไรไม่ได้เลย ประเทศอยู่ที่เดิมมาเป็นระยะเวลา 8 ปีแล้ว จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยุดบทบาทของพรรคทหารจำแลงที่สวมเสื้อพรรคการเมืองในรูปแบบประชาธิปไตย แต่จริง ๆ แล้วรากเหง้ามาจากรัฐประหาร” นายธนาธร กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคิดเห็นอย่างไร ที่หลายคนมองว่ากระแสพรรคก้าวไกลไม่ดังเท่าพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธรตอบว่า มองว่าเป็นข้อดีเพราะในสมัยพรรคอนาคตใหม่ รากฐานการสร้างพรรคการเมืองนั้นยังไม่แข็ง ต้องอาศัยตัวบุคคลมากกว่า แต่วันนี้หากมองพรรคก้าวไกลในฐานะคนนอก ก็มีแต่ความภูมิใจ ยกตัวอย่างเรื่อง พ.ร.บ.ประมง คนที่ผลักดันประเด็นนี้ก็คือ นายศักดินัย นุ่มหนู หรือการติดตามประเด็นการเมืองอย่างใกล้ชิดในเรื่องการปฏิรูปสถาบันก็มีนางสาวเบญจา แสงจันทร์ ที่คอยผลักดัน เรื่องการตรวจสอบการทุจริตก็มีนายรังสิมันต์ โรม และการออกมาเปิดโปงให้คนเท่าทันถึง IO ของภาครัฐ ก็มีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นอกจากนี้ยังมีนักเศรษฐศาสตร์มหภาคอย่างนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล

“การที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบทำให้ดอกไม้ต่าง ๆ เบ่งบานไปหมด พรรคก้าวไกลมี ส.ส. จำนวนมากที่สามารถอภิปรายในสภาอย่างคมคาย น่าสนใจ ในนามของพี่น้องประชาชน ในขณะที่กลไกของพรรคก็เข้มแข็งมากขึ้น จากเดิมที่ต้องพึ่งพิงตัวบุคคล แต่ปัจจุบันแข็งแกร่งมากขึ้น มีผู้สมัคร ส.ส. มากหน้าหลายตา มองย้อนกลับไป 4 ปี ก็มีแต่ความภูมิใจที่ได้สร้างพรรคอนาคตใหม่ในวันนั้น และมาเป็นพรรคก้าวไกลในวันนี้”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีการกระทบกระทั่งของนายพิธาและนายปิยบุตร เป็นการปลุกกระแสหรือไม่ เพราะดูเหมือนจะสู้พรรคอื่นไม่ได้ นายธนาธร ตอบว่า คงไม่เป็นแบบนั้น ทั้งสองมีปัญหากันจริง ถ้าสู้กับพรรคอื่นไม่ได้ ก็ให้วัดกันที่ผลเลือกตั้งดีกว่า เพราะประชาชนก็เห็นผลงานการทำงานของพรรคก้าวไกลในสภา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าใน 4 ปี ที่ผ่านมา แม้พรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้าน แต่ก็ทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ เป็นตัวแทนประชาชนได้อย่างภาคภูมิใจ

นายธนาธร กล่าวว่า ในฐานะที่เคยเป็นผู้นำพรรคอนาคตใหม่ ก็ต้องเชียร์พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคที่สืบทอดมาจากการถูกยุบพรรคอนาคตใหม่ และหวังว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน อยากให้มองสิ่งที่ทางพรรคทำ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับทุนผูกขาด การรณรงค์ต่อต้านการควบรวมทรูและดีแทค การรณรงค์เรื่องปลดล็อกสุรา การรณรงค์สมรสเท่าเทียม

“สิ่งเหล่านี้ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าเป็นผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน นอกจากนี้เรายังตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น การใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมจำนวนมากในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา” นายธนาธร กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีความคิดเห็นอย่างไรต่อกรณีที่ นายปิยะบุตรตั้งข้อสงสัยถึงศักยภาพของนายพิธา นายธนาธรกล่าวว่าให้ประชาชนตัดสินดีกว่า 4 ปีที่ผ่านมา เป็นพรรคอนาคตใหม่ 1 ปี เป็นพรรคก้าวไกล 3 ปี ดังนั้น 3 ปีที่ผ่านมาประชาชนน่าจะเห็นการทำงานของนายพิธาแล้ว และอยากให้มองการอภิปรายของนายพิธา ที่น่าจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองคนเดียวที่กล้าอภิปรายปัญหาที่สำคัญของสังคมไทยอย่างตรงไปตรงมาในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยน้ำเสียงที่เข้าอกเข้าใจ และท่าทีที่มีวุฒิภาวะ ซึ่งไม่เคยมีหัวหน้าพรรคการเมืองคนใดกล้าอภิปรายในเรื่องที่มีความอ่อนไหวต่อสังคมไทยเช่นนี้ในสภาผู้แทนราษฎรมาก่อน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามความคิดเห็นของนายธนาธร ต่อกรณีที่สมาชิกพรรคก้าวไกลคนอื่นที่ลาออกไปและพูดถึงกรณีเผด็จการภายในพรรค นายธนาธรกล่าวว่า ในมุมมองของคนนอก อยากให้ไปสอบถามแกนนำพรรคก้าวไกลเอง แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องปกติของการบริหารงานในพรรคการเมือง หากเป็นเรื่องใหญ่ก็ต้องถามสมาชิกหรือกรรมการบริหาร แต่หากเป็นเรื่องการจัดการภายใน ถ้าจะไปถามกรรมการบริหารทุกเรื่องก็คงเป็นไปไม่ได้ มิเช่นนั้นองค์กรก็จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไป มันขึ้นอยู่กับว่า เรื่องใดจะถูกตัดสินใจโดยคนระดับใดในองค์กร

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กลัวถูกยุบพรรคไหม เพราะมีกฎ ‘ยุบพรรคติดเทอร์โบ’ และก้าวไกลก็ถูกหมายหัวด้วย กรณีผลักดันแก้ไข ม.112 นายธนาธร ตอบว่า ไม่กลัว ไม่มีความกลัวในเรื่องนี้เลย

“ตอนยุบพรรคอนาคตใหม่แล้วเป็นยังไง ถ้ายุบพรรคก้าวไกลอีก ผมคิดว่าประชาชนก็คงจะโกรธแค้น พร้อมต่อสู้ทุกสถานการณ์ พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์” นายธนาธร กล่าว

Related Posts

Send this to a friend